สถานการณ์ตลาดน้ำมันประจำสัปดาห์ที่ 9-13 ธ.ค. 62 และคาดการณ์สัปดาห์ที่ 16-20 ธ.ค. 62 โดยส่วนวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงบวก
· ทางการสหรัฐฯ และจีน แถลงบรรลุข้อตกลงทางการค้า (Phase 1) ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ นาย Robert Lighthizer เปิดเผยว่าจีนตกลงจะซื้อสินค้าและบริการมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายใน 2 ปีข้างหน้า ขณะที่สหรัฐฯ ยกเลิกการขึ้นภาษีสินค้ามูลค่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันที่ 15 ธ.ค. 62 และเตรียมจะลดภาษีสินค้าที่เก็บในช่วงสงครามการค้าโดยจะมีผล 30 วันหลังจากลงนามในข้อตกลงในเดือน ม.ค. 63
· วันที่ 11 ธ.ค. 62 Saudi Aramco บริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดีอาระเบียเสนอขายหุ้นครั้งแรก (Initial Public Offering-IPO) ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มูลค่า 2.56 หมื่นล้านดอลลาร์แซงหน้าบริษัท Alibaba ในปี พ.ศ. 2557 และการซื้อขายในตลาดวันที่ 2 ราคาหุ้นระหว่างวันเพิ่มขึ้น ทำให้มูลค่าบริษัทฯ อยู่ในระดับสูงกว่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ
· วันที่ 11 ธ.ค. 62 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ที่ระดับ 1.50%-1.75% ตามที่ตลาดคาดการณ์ หลังจากที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ ทั้งนี้ Fed ระบุว่า นโยบายการเงินในปัจจุบันมีความเหมาะสมในการสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัว ขณะที่ตลาดแรงงานยังคงความแข็งแกร่ง และอัตราเงินเฟ้ออยู่ใกล้เป้าหมายของ Fed ที่ระดับ 2%
· ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 0 % และคงดอกเบี้ยเงินฝากที่ -0.5 % ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้นาง Christine Lagarde ประธาน ECB คนใหม่ร่วมการประชุมครั้งแรก ที่เมือง Frankfurt ประเทศเยอรมนี
· ICE รายงานสถานะการลงทุนสัญญาน้ำมันดิบ Brent ในตลาดลอนดอน สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 10 ธ.ค. 62 กลุ่มผู้จัดการกองทุนปรับสถานะถือครองสุทธิ (Net Long Position) เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 42,855 สัญญา มาอยู่ที่ 373,843 สัญญา
· CFTC รายงานสถานะการลงทุนสัญญาน้ำมันดิบ WTI ในตลาดนิวยอร์กและตลาดลอนดอน สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 10 ธ.ค. 62 กลุ่มผู้จัดการกองทุนปรับ Net Long Position เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 80,247 สัญญา มาอยู่ที่ 251,360 สัญญา
ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ
· รายงาน Short-Term Energy Outlook เดือน ธ.ค. 62 ของ Energy Information Administration (EIA) ระบุอุปสงค์น้ำมันโลกปี พ.ศ. 2562 อยู่ที่ระดับ 100.72 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ลดลงจากประมาณการณ์ครั้งก่อน 190,000 บาร์เรลต่อวัน) และในปี พ.ศ.2563 อยู่ที่ 102.15 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ลดลงจากประมาณการณ์ครั้งก่อน 130,000 บาร์เรลต่อวัน) ด้านอุปทานน้ำมัน EIA ประเมินว่าในปี พ.ศ. 2563 สหรัฐฯ จะผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 930,000 บาร์เรลต่อวัน สู่ระดับสูงสุดที่ 13.18 ล้านบาร์เรลต่อวัน
· EIA รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ในสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุด 6 ธ.ค. 62 เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 800,000 บาร์เรล อยู่ที่ 447.9 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงจากสัปดาห์ก่อน 2.8 ล้านบาร์เรล
· Baker Hughes Inc. รายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบในสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 13 ธ.ค. 62 เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 4 แท่น มาอยู่ที่ 667 แท่น เพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 8 สัปดาห์
แนวโน้มราคาน้ำมัน
ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น จากนักลงทุนในตลาดคลายความกังวลหลังจากสหรัฐฯ และจีนสามารถหาข้อสรุปเบื้องต้นเพื่อยุติสงครามการค้าระหว่างกัน โดยจีนตกลงซื้อสินค้าและบริการ โดยเฉพาะสินค้าการเกษตรจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และระงับการขึ้นภาษีสินค้า อาทิ ยานยนต์และส่วนประกอบ เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ เพิ่มเติมในวันที่ 15 ธ.ค. 62 ขณะที่สหรัฐฯ ยอมยุติการขึ้นภาษีที่จะเรียกเก็บเพิ่มในวันเดียวกัน และคาดว่าจะสามารถลงนามข้อตกลง Phase 1 ได้ภายในสัปดาห์แรกของเดือน ม.ค. 63 ประกอบกับอุปทานในตลาดมีแนวโน้มลดลง หลังกลุ่ม OPEC และพันธมิตรประกาศลดปริมาณการผลิตน้ำมันเพิ่มอีก 500,000 บาร์เรลต่อวัน จากเดิมร่วมลดการผลิตอยู่ที่ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในวันที่ 1 ม.ค. 63 ขณะที่อีกด้านหนึ่งสหรัฐฯ มีแผนขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป อาทิ วิสกี้ และชีส ในอัตราที่สูงถึง 100% เพื่อตอบโต้กรณีพิพาทที่สหภาพยุโรปให้เงินอุดหนุนแก่บริษัท Airbus ของฝรั่งเศส ซึ่งส่งผลกระทบกับบริษัท Boeing ที่เป็นบริษัทผลิตเครื่องบินคู่แข่งจากสหรัฐฯ ให้จับตาการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) หลังนาย Boris Johnson ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรอีกสมั
เนื่องจากพรรค Conservative ชนะการเลือกตั้งโดยได้ที่นั่งในรัฐสภา 364 จาก 650 ที่นั่ง ทั้งนี้ นาย Johnson
พร้อมที่จะผลักดันกระบวนการ Brexit ให้ทันกำหนดเส้นตายในวันที่ 31 ม.ค. 63 ด้านเทคนิคสัปดาห์นี้คาดว่า ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 62-67 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และน้ำมันดิบ NYMEX WTI อยู่ในกรอบ 57-62 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบ Dubai จะะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 61-66 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
สถานการณ์ราคาน้ำมันเบนซิน
ราคาน้ำมันเบนซินเฉลี่ยรายสัปดาห์ลดลงเนื่องจากแรงขายของจีน, อินเดีย และไต้หวัน อีกทั้ง Petroleum Association of Japan (PAJ) รายงานปริมาณการผลิตน้ำมันเบนซิน สัปดาห์สิ้นสุด 7 ธ.ค. 62 เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 2.74 % อยู่ที่ 5.99 ล้านบาร์เรล สูงสุดตั้งแต่สัปดาห์แรกของเดือน ก.ย. 62 และส่งออกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 26 % อยู่ที่ 820,000 บาร์เรลประกอบกับ บริษัท Zhejiang Petrochemical ของจีนเริ่มเดินเครื่องหน่วย Reformer (กำลังการกลั่น 83,000 บาร์เรลต่อวัน) ที่โรงกลั่น Rongsheng (กำลังการกลั่น 400,000 บาร์เรลต่อวัน) และ บริษัท Toa Oil ของญี่ปุ่นกลับมาเดินเครื่องหน่วย CDU ที่โรงกลั่น Keihin (กำลังการกลั่น 70,000 บาร์เรลต่อวัน) ตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. 62 หลังปิดซ่อมฉุกเฉินเป็นเวลา 2 วันด้านปริมาณสำรอง EIA รายงานปริมาณสำรอง น้ำมันเบนซินเชิงพาณิชย์ที่สหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 6 ธ.ค. 62 เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 5.4 ล้านบาร์เรล อยู่ที่ 234.8 ล้านบาร์เรล สูงสุดในรอบ 4 เดือน และ International Enterprise Singapore (IES) รายงานปริมาณสำรอง Light Distillates เชิงพาณิชย์ที่สิงคโปร์ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 11 ธ.ค. 62 จากสัปดาห์ก่อนเพิ่มขึ้น 1.66 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ 12.92 ล้านบาร์เรล สูงสุดในรอบ 4 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม บริษัท Indian Oil Corp. (IOC) ปิดปรับปรุงโรงกลั่น Mathura (กำลังการกลั่น 160,000 บาร์เรลต่อวัน) เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ เพื่อให้สามารถผลิตน้ำมันมาตรฐาน Euro 6 ด้านเทคนิคในสัปดาห์นี้คาดว่าราคาน้ำมันเบนซิน จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 71-76 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
สถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซล
ราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยรายสัปดาห์เพิ่มขึ้นเนื่องจาก Arbitrage น้ำมันดีเซลจากเอเชียสู่ยุโรปเปิด โดยบริษัท Formosa Petrochemical Corp. ของไต้หวันส่งออกน้ำมันดีเซล 0.001%S ปริมาณ 720,000 บาร์เรล ส่งมอบ 22-26 ม.ค. 63 และPetroleum Planning and Analysis Cell (PPAC) ของอินเดียรายงานอุปสงค์น้ำมันดีเซลเดือน พ.ย 62 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 314,000 อยู่ที่ระดับ 1.91 ล้านบาร์เรลต่อวัน ด้านปริมาณสำรอง IES รายงานปริมาณสำรอง Middle Distillates เชิงพาณิชย์ที่สิงคโปร์ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 11 ธ.ค. 62 ลดลงจากสัปดาห์ก่อนลดลง 130,000 บาร์เรล มาอยู่ที่ 10.71 ล้านบาร์เรล ต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าคาดปริมาณการขายน้ำมันดีเซลในตลาดสิงคโปร์ เดือน ม.ค. 63 จะมากกว่าเดือน ธ.ค. 62 เนื่องจากโรงกลั่นในเอเชียเหนือกลับมาหลังปิดซ่อมบำรุง และ EIA รายงานปริมาณสำรอง Distillates เชิงพาณิชย์ที่สหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 6 ธ.ค. 62 เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 4.1 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ 123.6 ล้านบาร์เรล สูงสุดในรอบ 2 เดือน ทางเทคนิคในสัปดาห์นี้คาดว่าราคาน้ำมันดีเซลจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 75-80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล