“สมคิด”มอบนโยบายกระทรวงพลังงาน เน้นกลไก ปตท. เป็นหัวหอกช่วยเศรษฐกิจฐานราก นำ Big Data ผลักดันสู่ฮับพลังงานอาเซียน
รองนายกฯ
“สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” มอบนโยบายกระทรวงพลังงาน เน้นสร้างความมั่นคงด้านการจัดหาพลังงานเพื่อสู่การเป็นฮับพลังงานอาเซียน
ใช้ความแข็งแกร่งของ ปตท. เป็นหัวหอกช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกร
การสนับสนุน Start Up ด้านพลังงาน และการใช้ Big Data
อย่างจริงจังมาบริหารจัดการวางนโยบายพลังงานให้สอดคล้องกับพฤติกรรมประชาชนที่ปรับเปลี่ยนไปในยุคปัจจุบัน
ดร.สมคิด
จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมและมอบนโยบาย ด้านพลังงานแก่กระทรวงพลังงาน
โดยมีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายกุลิศ สมบัติศิริ
ปลัดกระทรวงพลังงาน พร้อมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงพลังงานให้การต้อนรับและร่วมรับมอบนโยบาย
โดยรองนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญโดยสรุป ดังนี้
-เรื่องการจัดหาพลังงานมีความสำคัญ
เพราะไม่ใช่เพียงการบริหารพลังงานแหล่งปิโตรเลียมในประเทศเท่านั้น ในเชิงยุทธศาสตร์ต้องมองระดับภูมิภาคด้วย
เพราะไทยอยู่ในตำแหน่งภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ สามารถเป็นศูนย์กลางเป็นผู้นำด้านพลังงานอาเซียนได้
-กองทุนด้านพลังงานที่มีอยู่
เช่น กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งอดีตเคยแบกหนี้นับแสนล้านบาท
ปัจจุบันราคาน้ำมันอยู่ในช่วงขาลง มีเงินสะสมอยู่ในกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งรวมถึงกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ก็น่าจะใช้เวลาช่วงนี้เป็นโอกาสนำงบที่มีอยู่ตามกองทุนพลังงานต่างๆ
ไปพัฒนานโยบายด้านพลังงานทางเลือกเพื่อให้เกิดความยั่งยืน
เพราะการพึ่งพาฟอสซิลคงอยู่ไม่ได้นานถึง 20 ปี
-เรื่องการดูแลค่าครองชีพด้านพลังงาน
เป็นมิติด้านเศรษฐกิจที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
มอบเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะเรื่องค่าพลังงาน
หรือแม้แต่ระบบภาษีจะใช้มาตรฐานเดียวกันระหว่างคนมีรายได้น้อย กับคนรวยเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
เราจะใช้มาตรฐานแบบต่างชาติกำหนดไม่ได้
ควรดูให้เหมาะกับทางปฏิบัติกับสังคมไทยมากกว่า พร้อมมอบภารกิจ ให้ ปตท.
และรัฐวิสาหกิจในเครือเป็นหัวหอกด้านการจัดทำโมเดลธุรกิจให้ชาวบ้านหรือชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม
เช่น ผ่านช่องทางปั๊มน้ำมันของปตท. โดยเปิดให้เป็นสถานที่กลางในการซื้อขายสินค้าของชาวบ้าน
ซึ่งรวมถึงเรื่องปุ๋ยที่เป็นต้นทุนหลักของเกษตรกรด้วย หรือโมเดลการทำธุรกิจห้องเย็นสำหรับเก็บรักษาผลไม้ในแหล่งที่เป็นศูนย์กลาง
เช่น ที่จ.ระยอง และชุมพร โดยมองว่า ปตท.และรัฐวิสาหกิจในเครือ จะต้องมีบทบาทเป็นหน่วยงานที่จรรโลงสังคมด้วย
ไม่ใช่องค์กรเพื่อแสวงกำไรอย่างเดียว ซึ่งหากได้ดำเนินการในเรื่องเหล่านี้คืนกลับสู่สังคม
ปตท.ก็จะถูกโจมตีน้อยลงแน่นอน
-การสนับสนุน Start Up ด้านพลังงานถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะตัวอย่างในจีนก็เติบโตมาได้ด้วย Start
Up ที่มีนับแสนราย ซึ่งคนรุ่นใหม่จะมีส่วนช่วยคิดค้น
มองศักยภาพการพัฒนาไปสู่เชิงพาณิชย์ได้ ควรนำ Smart Farmer ที่
ธกส.มีข้อมูลอยู่ประมาณหมื่นกว่ารายมาร่วมงานเพื่อสานต่อให้เกิดรูปธรรมต่อไป
-เรื่อง Big
Data ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลเหมือนตาบอดคลำช้าง มีข้อมูลต่างๆที่ยังไม่เชื่อมโยงอย่างจริงจัง
ประกอบกับมีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จำนวนน้อย แต่ปัจจุบันมีกลไกต่างๆ
ในการเข้าถึงข้อมูลมากขึ้น ทั้งระบบพร้อมเพย์ที่กำลังพัฒนาได้ทั้งรับและจ่าย
บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ฯลฯ ซึ่งเหล่านี้จะเริ่มเชื่อมโยงกันได้มากขึ้น
จะทำให้การวางนโยบายตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ตรงจุดมากขึ้น
นายสนธิรัตน์
สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวสรุปภาพรวมนโยบายที่รองนายกรัฐมนตรี
มอบให้กระทรวงพลังงานดำเนินการ ว่า มี 2 ประเด็นหลัก คือ 1. การลดความเหลื่อมล้ำ
2. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
โดยใช้กลไกด้านพลังงานไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนผ่านโครงสร้างพลังงานชุมชน
จากความร่วมมือของชุมชนและผู้ประกอบการขนาดเล็ก หรือ SMEs เพื่อช่วยลดภาระพี่น้องประชาชน โดยดำเนินการให้สอดรับกับแผนและนโยบายของกระทรวงพลังงาน
รวมถึงการยกระดับชุมชนที่นอกเหนือจากเรื่องพลังงาน
ซึ่งกระทรวงพลังงานจะร่วมกับ ปตท. ในการศึกษาเรื่องการเป็นสหกรณ์
และการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าชุมชน ยกระดับทั้งแพ็กเกจจิ้ง แบรนด์ดิ้ง จากมาเก็ตเพลสเป็นระดับอีคอมเมิร์ซ
ทางด้าน
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ได้รายงานในที่ประชุมฯ ถึงวิสัยทัศน์ของกระทรวงพลังงานที่สำคัญ
3 ประการคือ 1.พลังงานเพื่อทุกคน (Energy For
All) 2.บริหารจัดการพลังงานด้วยเทคโนโลยี Big
Data และAI (Artificial Intelligence) และ 3.เป็นผู้นำด้านพลังงานอาเซียน
ซึ่งในการเดินไปสู่วิสัยทัศน์ดังกล่าวจะต้องดำเนินการในด้านต่างๆ
ทั้งการสร้างสมดุลด้านเชื้อเพลิง การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเป็นศูนย์กลางไฟฟ้าอาเซียน
การสร้างรายได้ให้ชุมชน การช่วยเหลือประชาชนรอบโรงไฟฟ้า การจัดหาพลังงานอย่างต่อเนื่อง
การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน การดูแลค่าครองชีพด้านพลังงาน
รวมถึงการมีนวัตกรรมรองรับพลังงานรูปแบบใหม่
สำหรับ
ภารกิจเร่งด่วนเฉพาะหน้าด้านพลังงานมี 6 ประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย
การกำหนดรูปแบบการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยด้าน LPG และ NGV
การระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการรื้อถอนสิ่งติดตั้งในกิจการปิโตรเลียม
การชี้แจงต่อผู้ตรวจการแผ่นดินกรณีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้า การกำหนด Road Map ของน้ำมันเชื้อเพลิงในกลุ่มดีเซล B10 และ B20 การจัดประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน (AMEM)
2 - 6 กันยายน 2562 และการหาข้อยุติการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)
1.5 ล้านตันของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ส่วนเป้าหมายการดำเนินงานในระยะ
6 เดือน ได้วางอยู่บนหลักการสำคัญคือ ด้านการลดความเหลื่อมล้ำ
โดยจะดำเนินการดูแลค่าครองชีพด้านพลังงานทั้งราคา LPG และ NGV
, จัดตั้งสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง, จัดทำโมเดลของโรงไฟฟ้าชุมชน
และแนวทางช่วยเหลือประชาชนรอบโรงไฟฟ้า ด้านการเพิ่มขีดความสามารถ จะปรับสมดุลเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า, จะบรรลุข้อตกลงขยายการส่งไฟฟ้าจาก สปป.ลาวผ่านไทยไปมาเลเซียเพิ่มเป็น 300 เมกะวัตต์ในการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพเดือนกันยายนนี้
และทบทวน แผนบูรณาการพลังงานระยะยาว ทั้งแผนไฟฟ้า(PDP) แผนพลังงานทดแทน
(AEDP) แผนอนุรักษ์พลังงาน (EEP) แผนด้านก๊าซ
(Gas Plan) และแผนด้านน้ำมัน (Oil
Plan) ด้านการสร้างความยั่งยืน จะจัดทำ Road Map การพัฒนาน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทดีเซล B10 / B20
และจะจัดสรรงบและเริ่มดำเนินโครงการภายใต้การส่งเสริมของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานปี
2563 วงเงิน 12,000 ล้านบาท