“กกพ.” ไฟเขียว “มิตรผล อำนาจเจริญ” เดินหน้าโรงไฟฟ้าชีวมวลต้นแบบ
“กกพ.” มีมติออกใบอนุญาต โรงไฟฟ้าชีวมวล ของ “มิตรผล ไบโอ-เพาเวอร์
(อำนาจเจริญ)” หลังชะลอการพิจารณาอนุญาต และใช้เวลาเกือบ 3
เดือน เพื่อตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริง จึงได้สั่งการให้สำนักงาน กกพ. เพิ่มมาตรการในการกำกับดูแล
ระบุในเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาต เพื่อให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด “มั่นใจ”
จัดการข้อร้องเรียน และลดข้อวิตกกังวลของพี่น้องชุมชนรอบโรงไฟฟ้าได้ครบถ้วน ด้าน
“กลุ่มมิตรผล” ให้คำมั่น เดินหน้า โครงการต้นแบบโรงไฟฟ้าชีวมวล ที่อำนาจเจริญ
นางสาวนฤภัทร
อมรโฆษิต เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.)
ในฐานะโฆษก คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ.
มีมติเห็นชอบให้ออกใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงาน ให้แก่ บริษัท มิตรผล ไบโอ-เพาเวอร์ (อำนาจเจริญ)
จำกัด ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง
32,500.00 กิโลโวลต์แอมแปร์ (kVA) หรือ
26.000 เมกะวัตต์ (MW) ผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงชีวมวล
(กากอ้อย ใบอ้อย และชิ้นไม้สับ) ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต. น้ำปลีก
อ. เมือง จ. อำนาจเจริญ พร้อมกำหนดมาตรการในกำกับดูแลเพิ่มเติม
นอกเหนือจากมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามรายงาน EIA
ทั้งนี้ เพื่อให้ครอบคลุมข้อเรียนและประเด็นผลกระทบที่มีนัยสำคัญอย่างครบถ้วน
โดยระบุไว้ในเงื่อนไขเฉพาะในท้ายใบอนุญาต กกพ.
ยังได้รับทราบมาตรการเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ข้อวิตกกังวลของประชาชนเพิ่มเติมตามที่ตัวแทนกลุ่มบริษัทมิตรผลได้แสดงเจตจำนงยินดีที่จะจัดทำมาตรการดังกล่าว
เพื่อเป็นโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลต้นแบบ
เพื่อให้ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ในการดูแลผลกระทบต่อ ชุมชน
สังคม และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ให้เกิดความยั่งยืน
ซึ่งหากพบว่าฝ่าฝืนหรือไม่มีการปฏิบัติ
และเกิดมลพิษและผลกระทบสูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดให้หยุดการผลิตได้ทันที
“การดำเนินงานของ
กกพ. ตั้งอยู่บนพื้นฐานหลักธรรมาภิบาลมาใช้ในบริหารจัดการ
และเคารพสิทธิต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงานเป็นไปตามอำนาจหน้าที่
และตรงตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่บัญญัติไว้” นางสาวนฤภัทร กล่าว
ก่อนหน้านี้ ในการประชุม กกพ.
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2561 กกพ.
ได้มีมติชะลอการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า ระบบจำหน่ายไฟฟ้า
จำหน่ายไฟฟ้า การอนุญาตก่อสร้างอาคาร
และการอนุญาตประกอบกิจการโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้า ของบริษัท มิตรผล ไบโอ-เพาเวอร์
(อำนาจเจริญ) จำกัด เพื่อให้ กกพ. ได้มีโอกาสรับฟังข้อมูลจากประชาชนในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า
ผู้ประกอบการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ ซึ่งข้อสรุปประเด็นปัญหาข้อร้องเรียน
ข้อกังวลใจ และแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างบูรณาการ เพื่อไปสู่การกำหนดเงื่อนไขเฉพาะในการประกอบกิจการพลังงานหรือกำหนดเป็นมาตรการลดผลกระทบตามกฎหมายต่างๆ
โดยเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2562 นำโดยนายเสมอใจ ศุขสุเมฆ ประธาน กกพ.
พร้อมคณะผู้แทนสำนักงาน กกพ. ได้ลงพื้นที่เพื่อเข้าประชุมร่วมกับนายนิกร สุกใส ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร
และกลุ่มผู้คัดค้านโครงการ ประกอบด้วย
กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบายและกลุ่มเครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำเซบาย เพื่อดู สำรวจ
เก็บข้อมูล และรับฟังข้อเท็จจริงของโครงการ ได้แก่ จุดผันน้ำจากลำน้ำเซบาย
สภาพทั่วไปของพื้นที่โครงการ และการกันพื้นที่สาธารณะ (ลำห้วยน้อย) ออกจากพื้นที่โครงการ
รวมทั้งได้เจรจากับกลุ่มผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านโครงการ ซึ่งในการลงพื้นที่ในครั้งนั้น
ได้ข้อสรุปประเด็นที่ได้จากกลุ่มผู้คัดค้าน มาพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามรายงาน EIA โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลของบริษัทฯ
เพื่อนำมาพิจารณาใช้ปฏิบัติในช่วงก่อนก่อสร้างและตลอดช่วงก่อสร้าง
ตลอดจนถึงช่วงดำเนินการ
ทั้งนี้ ตามที่ กกพ. ได้มีมติอนุญาตใบอนุญาตจำนวน 5 ประเภทแล้วได้แก่
ใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้า ใบอนุญาตระบบจำหน่ายไฟฟ้า ใบอนุญาตจำหน่ายไฟฟ้า
ใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร (อ.1) และใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานผลิตไฟฟ้า (รง.4)
นางสาวนฤภัทร กล่าวว่า“ในส่วนของใบอนุญาตผลิตไฟฟ้า
กกพ. ได้มติให้เพิ่มเงื่อนไขเฉพาะในการประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า เป็น 9 ข้อ
โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1.
ต้องปฏิบัติตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม “โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล
ของบริษัท มิตรผลไบโอ-เพาเวอร์ (อำนาจเจริญ) จำกัด ตั้งอยู่ที่ตำบลน้ำปลีก
อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ” ฉบับล่าสุด
หรือฉบับที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมที่ได้รับความเห็นชอบโดยเคร่งครัด
2.
ต้องนำส่งรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตลอดจนปัญหา ข้อจำกัด
และข้อเสนอแนะต่อสำนักงานเป็นประจำทุก 6
เดือน
3.
ให้ผู้รับใบอนุญาตจัดส่งเอกสารดังต่อไปนี้ก่อนแจ้งเริ่มประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า
(1)
ผลการทดสอบสมรรถนะและประสิทธิภาพของเครื่องจักรอุปกรณ์สำคัญที่ได้รับรองอย่างเป็นทางการจากผู้ผลิต
(2)
ผลการทดสอบสมรรถนะและประสิทธิภาพของระบบผลิตไฟฟ้า ซึ่งรวมถึง Heat Balance, Mass Balance, Water Balance และปริมาณมลพิษทางอากาศที่ระบายจากปล่อง
ซึ่งได้รับรองอย่างเป็นทางการหลังจากการทดลองเดินเครื่องและทดสอบระบบ
4.
หากมีความประสงค์จะเปลี่ยนแปลงชนิดของเชื้อเพลิงหรือรายละเอียดโครงการแตกต่างจากที่เสนอไว้ในการขออนุญาตประกอบกิจการพลังงาน
จะต้องเสนอรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงให้คณะกรรมการให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
5.
ให้นำส่งรายงานสมดุลของการผลิต ซื้อ ใช้
และ/หรือจำหน่ายไฟฟ้าประจำวันของสถานประกอบกิจการ โดยแสดงรายละเอียดเป็นรายชั่วโมง
และผลการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมตามรอบการตรวจติดตามที่กำหนดในรายงาน EIA ให้สำนักงานทุกเดือน
นับแต่วันที่เริ่มประกอบกิจการ
6.
ห้ามจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบโครงข่ายพลังงานของการไฟฟ้าก่อนได้รับอนุญาต
7.
ต้องจัดทำแผนปฏิบัติการฉุกเฉิน จัดการฝึกอบรม
แนะนำวิธีการป้องกันเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในส่วนที่อาจก่อให้เกิดอันตราย
อุบัติเหตุและอุบัติภัย และมีการฝึกซ้อมอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ทั้งนี้
จะต้องมีหลักฐานเอกสารการดำเนินการแสดงไว้ที่สถานประกอบกิจการให้สามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา
8.
ต้องทำการตรวจวัดคุณภาพอากาศทั้งระยะก่อสร้างและระยะดำเนินการจำนวน 4 จุด
(ทิศทางลมและความเร็วลม 2 จุด) ปีละ 3 ครั้ง (ทุก 4 เดือน) ครั้งละ 7 วันต่อเนื่อง
ให้ครอบคลุมทั้งในช่วงฤดูหีบอ้อยและนอกฤดูหีบอ้อ
9.
ให้ควบคุมดูแลการระบายมลพิษทางอากาศให้น้อยที่สุด
และให้ติดตั้งเครื่องตรวจวัดความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศจากปล่องที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศแบบอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง
(CEMs) โดยให้ติดตั้งจอแสดงผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศที่บริเวณหน้าโรงงาน
เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าตรวจสอบได้โดยสะดวก”
สำหรับ
มาตรการเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ข้อวิตกกังวลของประชาชนเพิ่มเติมตามที่ตัวแทนกลุ่มบริษัทมิตรผลฯ
ได้แสดงเจตจำนงยินดีที่จะจัดทำมาตรการดังกล่าว เพื่อเป็นโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล มีดังนี้
1.
บริษัทฯ
จะควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศให้น้อยที่สุดและจะติดตั้งเครื่องตรวจวัดความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศจากปล่องที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศแบบอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง
(CEMs) โดยจะรายงานคุณภาพอากาศผ่านจอแสดงผลที่บริเวณหน้าโรงงาน
2.
บริษัทฯ จะจัดส่งรายงานการตรวจสอบคุณภาพน้ำใต้ดินให้แก่สำนักงาน กกพ. ทุกเดือน
3.
บริษัทฯ
จะเพิ่มความถี่ในการตรวจวัดคุณภาพอากาศทั้งระยะก่อสร้างและระยะดำเนินการปีละ 3
ครั้ง ต้องดำเนินการตรวจวัดในช่วงหีบอ้อย นอกฤดูกาลหีบอ้อย และช่วงหยุดซ่อมบำรุง
4.
บริษัทฯ ยินดีจะเชิญผู้ร้องเรียนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการไตรภาคี
เพื่อติดตามการประกอบกิจการของบริษัทฯ
5.
บริษัทฯ จะจัดตั้งกองทุนมวลชนสัมพันธ์เพื่อพัฒนาท้องถิ่นในรัศมี 5 กิโลเมตร
รอบโรงงาน ซึ่งบริหารกองทุนโดยคณะกรรมการไตรภาคี
6.
บริษัทฯ จะจัดตั้งกองทุนอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย โดยสนับสนุนการเพาะเลี้ยงและปล่อยพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำท้องถิ่น
รวมทั้งกิจการสัตว์น้ำท้องถิ่น โดยผ่านคณะกรรมการไตรภาคีและประมงจังหวัด
7.
บริษัทฯ จะพัฒนาถนน และการจราจรในพื้นที่ เพื่อสร้างทางเลี่ยงทางหลัก
และลดการเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่ รวมทั้งการดูแลฝุ่นถนน
8.
บริษัทฯ จะมอบทุนวิจัยการพัฒนาและอนุรักษ์กับนักวิจัยของมหาวิทยาลัย
9.
บริษัทฯ จะยกเลิกการใช้สารเคมีเกษตรที่เป็นอันตราย 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต
ไกลโฟเซต คลอร์ไพริฟอส ในการปลูกอ้อย
10.
บริษัทฯ จะติดตั้งมาตรวัดปริมาณน้ำที่โรงงานมีการผันน้ำจากลำน้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก
และรายงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ
11.
บริษัทฯ จะดำเนินโครงการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน สร้างงาน สร้างอาชีพเสริม
การท่องเที่ยวชุมชน
12.
บริษัทฯ จ้างงานคนพิการในพื้นที่รัศมี 5 กิโลเมตร รอบโรงงาน”
ทั้งนี้
สำนักงาน กกพ. จะดำเนินการติดตามการดำเนินการตามมาตรการเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ข้อวิตกกังวลของประชาชนเพิ่มเติมที่ตัวแทนกลุ่มบริษัทมิตรผลเสนออย่างเคร่งครัด
และรายงาน กกพ. ต่อไป” นางสาวนฤภัทร
กล่าวเพิ่มเติม