คปภ. เพิ่มมาตรการด้านประกันภัยช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุโซนร้อนปาบึก
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ
เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
เปิดเผยว่าจากกรณีพายุโซนร้อนปาบึกพัดถล่มทางภาคใต้ของประเทศไทยจนก่อให้เกิดความเสียหายในหลายพื้นที่
สำนักงาน คปภ. มีความห่วงใยผู้ประสบภัย จึงได้จัดประชุมหารือกับภาคธุรกิจประกันภัย
และ สำนักงาน คปภ. ภาค 8 และ 9 (สงขลา)
เพื่อติดตามดูแลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การป้องกัน เยียวยา ฟื้นฟู
โดยได้ขับเคลื่อนมาตรการเยียวฟื้นฟู 6 มาตรการ
พร้อมลงพื้นที่ทำกิจกรรม CSR มอบสิ่งของเครื่องใช้และถุงยังชีพ
ตลอดจนร่วมทำกิจกรรม Big Cleaning ณ
พื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชไปแล้ว นั้น
ล่าสุด
เพื่อเป็นการเพิ่มมาตรการช่วยเหลือด้านประกันภัยในการเยียวยาผู้ประสบภัยให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว
ถูกต้อง เป็นธรรมและเป็นมาตรฐานเดียวกัน เลขาธิการ คปภ.
ในฐานะนายทะเบียนได้ลงนามในคำสั่งนายทะเบียนที่ 4/2562 ลงวันที่ 15 มกราคม 2562
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และการจ่ายค่าสินไหมทดแทน
สำหรับการประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยในเขตพื้นที่ประสบภัยจากอิทธิพลของพายุโซนร้อนปาบึกทางภาคใต้ตามรายงานสถานการณ์สาธารณภัยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
กระทรวงมหาดไทย โดยให้มีผลบังคับใช้ย้อนไปตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2562
ซึ่งคำสั่งนี้ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของบริษัทประกันภัยสำหรับความเสียหายต่อทรัพย์สินเอาไว้ใน
3 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย
สำหรับกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย
ตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 2/2558 ลงวันที่ 27 มกราคม 2558
ให้พิจารณาค่าสินไหมทดแทนภายใต้ความคุ้มครองภัยธรรมชาติข้อ 2.7 ภัยจากลงพายุ และ
ข้อ 2.8 ภัยจาก น้ำท่วม เป็นจำนวน 20,000 บาท
แต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัยที่คงเหลืออยู่ เว้นแต่บริษัทสามารถพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงมีจำนวนที่น้อยกว่าจำนวนเงินดังกล่าว
สำหรับกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยแบบประหยัดสำหรับรายย่อย
(ไมโครอินชัวรันส์) ตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 46/2558 ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2559
ให้พิจารณาค่าสินไหมทดแทนภายใต้ความคุ้มครองภัยธรรมชาติข้อ 2.4 ภัยจากลมพายุ
และข้อ 2.5 ภัยจากน้ำท่วม เป็นจำนวน 10,000 บาท
แต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัยที่คงเหลืออยู่
เว้นแต่บริษัทสามารถพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงมีจำนวนที่น้อยกว่าจำนวนเงินดังกล่าว
สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยที่มีความคุ้มครองเดียวกันกับข้อ
1 และข้อ 2 ให้พิจารณาหลักเกณฑ์เทียบเคียงกัน
หากภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยตามข้อ 1, 2 และ 3
มีการแนบเอกสารแนบท้ายขยายความคุ้มครองสำหรับภัยลมพายุและภัยน้ำท่วมเพิ่มเติมจากความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยมาตรฐาน
ให้พิจารณาความเสียหายส่วนเกินกว่าความคุ้มครองมาตรฐานโดยพิจารณาจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกินวงเงินความคุ้มครองตามเอกสารแนบท้าย
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า
คำสั่งนายทะเบียนฉบับนี้นอกจากจะทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการประเมินความเสียหาย
และจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัยแล้ว
ยังจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการของบริษัทประกันภัยลง
อีกทั้งยังทำให้การพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย
เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งอุตสาหกรรมประกันภัย
โดยจะช่วยให้ผู้เอาประกันภัยที่ประสบภัยได้รับค่าสินไหมทดแทนรวดเร็วยิ่งขึ้น
จึงขอให้ผู้เอาประกันภัยที่ได้รับความเสียหาย จัดเตรียมเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วน
ประกอบด้วย หลักฐานและเอกสารพิสูจน์การเกิดเหตุ เช่น
ภาพถ่ายทรัพย์สินที่เอาประกันภัยที่ได้รับความเสียหาย
รวมถึงหลักฐานและเอกสารเกี่ยวกับการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน เช่น
บันทึกรายการทรัพย์สินเสียหาย
ซึ่งหากมีการส่งมอบเอกสารที่ถูกต้องครบถ้วนเพื่อประกอบการเบิกจ่ายแล้ว
บริษัทประกันภัยจะสามารถดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวให้แก่ผู้เอาประกันภัยภายใน
7 วัน
“สำนักงาน คปภ. มีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์พายุปาบึกเป็นอย่างยิ่ง
และจะให้ความช่วยเหลือด้านการประกันภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้
อยากฝากเตือนว่าอุบัติเหตุหรืออุบัติภัยสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
และเมื่อเกิดขึ้นแล้วอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ ดังนั้น
จึงขอให้ประชาชนหันมาให้ความสำคัญกับการทำประกันภัย
เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด
และสามารถช่วยแบ่งเบาภาระความเดือดร้อน หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186”
เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย