ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ชูกลยุทธ์ Customer First เร่งช่วยลูกค้าเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค
ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เผยกลยุทธ์หลักปี
2568 เร่งผลักดันลูกค้าและพาร์ทเนอร์ด้วยสูตรสำเร็จความยั่งยืน
สนับสนุนระบบนิเวศอย่างเข้มแข็ง ร่วมสร้างโอกาสทางธุรกิจผ่านความยั่งยืนด้วยผลิตภัณฑ์
โซลูชั่นและบริการล้ำหน้าเพื่อประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงสุด สะท้อนการเติบโตของรายได้รวมปี
2567 ทั่วโลก 38,153 ล้านยูโร 74
เปอร์เซ็นต์
เป็นผลจากความสำเร็จในการผลักดันธุรกิจที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม
พร้อมเร่งให้ความสำคัญลูกค้าเป็นอันดับแรก เพื่อสร้าง Impact Makers ช่วยลด Green Impact Gap
นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์
ประเทศไทย ลาว และเมียนมา เผยว่า ในฐานะที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นหนึ่งในผู้สร้างผลกระทบเชิงบวก
(Impact Makers) ที่ประสบความสำเร็จในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้บรรลุเป้าที่ตั้งไว้
เราเป็นองค์กรที่ตระหนักและให้ความสำคัญในการสร้างความยั่งยืนภายในองค์กรและพร้อมส่งต่อความมุ่งมั่นไปยังพันธมิตร
เพื่อส่งเสริมการเป็น Impact Makers ไปด้วยกัน ผ่านจุดยืนของแนวคิดที่เป็นสูตรสำเร็จในการบริหารจัดการด้านความยั่งยืนสำคัญ
3 แกนหลัก ได้แก่ 1.Strategize การวางแผนสร้างกลยุทธ์เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพให้เกิดขึ้นในระบบนิเวศทั้งซัพพลายเชน
2.Digitize การนำเทคโนโลยีมาใช้ตั้งแต่เริ่มต้นทั้งการให้คำปรึกษาตลอดจนการวัดผล
และ 3.Decarbonize การลงมือทำอย่างมีประสิทธิผล โดยนำเทคโนโลยีล้ำหน้าพร้อมระบบวิเคราะห์มาช่วยในการลดการปล่อยคาร์บอนไนออกไซด์
ที่ผ่านมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค สามารถช่วยให้ลูกค้าทั่วโลกลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งแต่ปี
2561 ถึง 2567 ได้ถึง 679 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการดําเนินงานของซัพพลายเออร์ชั้นนําถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นองค์กรหนึ่งเดียวที่ขึ้นแท่นอันดับ
1 ใน Global 100 ถึง 2 ครั้ง จากการจัดทำโดย Corporate Knights
อีกทั้งความต้องการขององค์กรธุรกิจด้านการสร้างความยั่งยืนมีเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ส่งผลให้ผลประกอบการทั่วโลกของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 มีรายได้รวม 38,153 ล้านยูโร เติบโตเพิ่มขึ้น 8 เปอร์เซ็นต์ (Organic)
จากปี 2566 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 35,902 ล้านยูโร ด้วยผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนที่โดดเด่น ทำให้มีสัดส่วนรายได้รวมที่มาจากธุรกิจส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
(Impact revenues) สูงถึง 74 เปอร์เซ็นต์
นายมงคล เผยว่า สำหรับปีนี้ภาคธุรกิจยังคงต้องให้ความสำคัญของ
3 เมกะเทรนด์ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจและเป็นตัวชี้ทิศทางอนาคตของธุรกิจใหม่ ได้แก่
1.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยรวมในเอเชีย และเป็นความเสี่ยงที่มีนัยสําคัญสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ และมีรายงานต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในช่วง
12 เดือน ถึง 41 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ 32 เปอร์เซ็นต์ รายงานถึงความเสียหายทางกายภาพและทรัพย์สินของบริษัท 2.การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์
(AI) ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้พลังงานประมวลผลของดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นมหาศาล เกิน 10 เท่าตัว โดย 93 เปอร์เซ็นต์ ของบริษัทในเอเชียได้ปรับใช้กลยุทธ์การเปลี่ยนสู่ดิจิทัลที่หลากหลายเพื่อสนับสนุนเป้าหมายความยั่งยืน
แต่ยังคงเผชิญความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น เมกะเทรนด์ที่ 3.การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
ส่งผลจากความต้องการพลังงานที่มากขึ้น ธุรกิจมีการมองหาพลังงานทดแทน ที่เป็นพลังงานสะอาด
จากการวิจัยโดย World Economic Forum พบว่า
หากมีการใช้มาตรการเพื่อเปลี่ยนแปลงความต้องการพลังงานภายในปี 2573 จะสามารถประหยัดได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่
29 เปอร์เซ็นต์ ของบริษัทที่สํารวจมองว่ายังมีข้อจำกัดด้านความพร้อมในการเปลี่ยนมาใช้ทางเลือกพลังงานสะอาด
และมีแนวโน้มที่จะลงทุนในมาตรการด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
การผลักดันองค์กรจำนวนมากให้ก้าวสู่ความเป็น Impact Makers หรือกลุ่มผู้สร้างผลกระทบด้านความยั่งยืน
คือหนึ่งในภารกิจที่ชไนเดอร์มุ่งเน้นเพื่อตอบโจทย์เมกะเทรนด์ได้อย่างตรงเป้าหมาย
นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตจากความยั่งยืนให้องค์กรต่างๆ ทั้งนี้ชไนเดอร์
อิเล็คทริค ได้มีการจัดทำการสำรวจ Green Impact Gap ประจำปี
ร่วมกับพันธมิตร Milieu Insight ในกลุ่มผู้นำธุรกิจจำนวน 4,500 ราย ใน 9 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น
มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน เวียดนาม และผู้นำธุรกิจ 500 รายในไทย เพื่อชี้ให้เห็นความสำคัญของแผนการลงทุนในการขับเคลื่อนดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น
พร้อมสร้างผลลัพธ์ได้จริงจากการดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย ผลสำรวจพบว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทในกลุ่มประเทศดังกล่าวมีเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่มีเพียง
47 เปอร์เซ็นต์ที่ดําเนินการอย่างครอบคลุมเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ขณะที่ช่องว่างการดําเนินการด้านความยั่งยืนของไทยในปี
2567 อยู่ที่ 50 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่า 98 เปอร์เซ็นต์มีเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่ดําเนินการตามกลยุทธ์อยู่ที่
48 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
อีกทั้ง 83 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจไทยให้ความสําคัญกับความยั่งยืน
โดย 74
เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหารระดับสูงมองว่าความยั่งยืนเป็นสิ่งสําคัญสําหรับบริษัท และ
39
เปอร์เซ็นต์มองว่าการดำเนินโครงการด้านความยั่งยืนนําไปสู่โอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น
โดย Impact Makers กําลังพัฒนาความยั่งยืนผ่านการเปลี่ยนสู่ดิจิทัลซึ่งให้ความสําคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
อีกทั้งตระหนักดีว่าการสร้างความยั่งยืนต้องให้ความสำคัญกับแนวทางและความร่วมมือในระบบนิเวศเพื่อสร้างความสำเร็จร่วมกัน
นายมงคล เผยว่า ชไนเดอร์
อิเล็คทริค มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนระบบนิเวศ ทั้งลูกค้าและคู่ค้าสู่การเป็น Impact Makers ไปด้วยกัน ด้วยการพัฒนานวัตกรรมและซอฟต์แวร์
เพื่อรองรับกลยุทธ์พลังงานไฟฟ้า 4.0 เป็นกุญแจสําคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานทั้งในด้านอุปสงค์และการลดคาร์บอนออกไซด์ในการจัดหาพลังงาน
โดยใช้แนวคิดที่เป็นสูตรสำเร็จ “เทคโนโลยีดิจิทัล + ระบบไฟฟ้า = ยั่งยืน” เพื่อตอบโจทย์เมกะเทรนด์ดังกล่าว โดยเฉพาะใน
4 กลุ่มตลาดหลักที่สำคัญคือ อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ อุตสาหกรรม และระบบโครงสร้างพื้นฐาน
ทั้งนี้พบว่า 37 เปอร์เซ็นต์ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกเกิดจากอาคาร
เทคโนโลยีอาคารและการจัดการพลังงาน สามารถช่วยลดการใช้พลังงานได้ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ จากการปรับปรุงระบบดิจิทัลและเทคโนโลยี และสามารถลดการก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการดําเนินงานของอาคารได้ถึง
77 เปอร์เซ็นต์ ด้วยโซลูชั่นของชไนเดอร์ อิเล็คทริค
ขณะที่ในกลุ่มบ้านพักอาศัยมีโซลูชั่นการจัดการพลังงานภายในบ้านเต็มรูปแบบที่เรียกว่า
Home Energy Management Solutions หรือ HEMS
ซึ่งผสานกับ AI ช่วยตั้งแต่บริหารจัดการการผลิต การจัดเก็บ และการใช้พลังงาน
เจ้าของบ้านสามารถควบคุมการใช้พลังงานและต้นทุนที่เกี่ยวข้องได้ ขณะที่ดาต้าเซ็นเตอร์
อุตสาหกรรม และระบบโครงสร้างพื้นฐาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค
มีบริการด้านพลังงานและความยั่งยืน ซอฟต์แวร์และโซลูชั่นเพื่อนําลูกค้าไปสู่ Net Zero ผ่าน EcoStruxure นวัตกรรมที่เปลี่ยนทุกความท้าทายให้เป็นโอกาส
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการยกย่องคู่ค้าและลูกค้า
รวมถึงซัพพลายเออร์ที่มุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนร่วมกันผ่านการปรับใช้นวัตกรรมและโซลูชั่นลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
อีกทั้งยังอยู่ในกลุ่ม Impact Makers ที่พร้อมร่วมกันขับเคลื่อนสู่สังคม Net
Zero ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จึงได้คัดเลือก 5 บริษัทชั้นนำของไทย
เป็นผู้ชนะในเวที Sustainability Impact Awards 2024
ระดับประเทศ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์
จำกัด บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด บริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน)
และบริษัท คอมพลีท อิเล็คทริเคิล โซลูชั่นส์ จำกัด
โดยรางวัลนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นําด้านความยั่งยืน
และเปิดการมองเห็นสู่สายตาของทั่วโลกที่อาจนําไปสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ