อลิอันซ์ เปิดบทวิเคราะห์เศรษฐกิจโลกหลังนโยบายทรัมป์ชี้ทุกประเทศยังคงเผชิญแรงสั่นสะเทือน คาดไทยได้รับผลกระทบปานกลาง
กลุ่มอลิอันซ์
เปิดเผยบทวิเคราะห์เศรษฐกิจโลกหลังนโยบายทรัมป์ ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เข้มข้นขึ้น
หลังจากสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวาระที่สอง
ประกาศใช้มาตรการภาษีแบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) โดยตั้งเป้าเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงสุดถึง
130% ซึ่งถือเป็นระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ
1890 ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้ต้นทุนการค้าระหว่างประเทศพุ่งสูงขึ้นทันที
โดยเฉพาะในภาคยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิต และอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ สหรัฐฯ
ยังส่งสัญญาณว่าจะใช้มาตรการภาษีกับประเทศอื่นเพิ่มเติม เช่น
กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เม็กซิโก และยุโรปตะวันออก
นำไปสู่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่แผ่ขยายไปทั่วโลก
ส่งผลให้ธนาคารกลางและนักลงทุนต่างเริ่มประเมินความเสี่ยงใหม่อีกครั้ง
·
ประเทศไทยถูกคาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบในระดับปานกลางจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ
และจีน โดยมีการปรับลดคาดการณ์ GDP เหลือ 2.2% ในปี 2025 และ 2.1% ในปี 2026
จาก 2.5% ในปี 2024 โดยประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงปานกลาง
ซึ่งจะมีแรงกดดันจากภาคการส่งออกและห่วงโซ่อุปทาน
แม้จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เหมือนบางประเทศในภูมิภาค
แต่ก็ยังเผชิญกับผลกระทบทางอ้อมจากความไม่แน่นอนทางการค้า ทั้งนี้
ธนาคารกลางมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อพยุงเศรษฐกิจ
ขณะที่การพึ่งพานโยบายภายในประเทศและการกระจายความเสี่ยงทางการค้าจะมีบทบาทสำคัญในการรองรับแรงสั่นสะเทือนจากภายนอกในระยะต่อไป.
·
ผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้ทำให้องค์กรต่างๆ
ลดการลงทุนและชะลอแผนขยายธุรกิจ โดยอัตราการเติบโตของ GDP โลกในปี 2025
คาดว่าจะชะลอลงเหลือเพียง 2.3% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19
ปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจโลก ได้แก่ ความไม่แน่นอนด้านนโยบาย
การชะลอตัวของการบริโภคในประเทศพัฒนาแล้ว และความตึงเครียดที่ปะทุจากการตอบโต้เชิงนโยบายระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ การใช้จ่ายผู้บริโภคในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐฯ และยุโรป
ก็อยู่ในภาวะซบเซาจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูงและค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น
·
ธนาคารกลางทั่วโลกจึงต้องดำเนินนโยบายด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ
ท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังไม่คลี่คลาย การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน
และความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ
(BoE) มีแนวโน้มจะเป็นผู้นำในการปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งช่วงปลายปี
2025 ต่อเนื่องถึงปี 2026 หากภาวะเงินเฟ้อเริ่มอ่อนตัวลง
ในทางกลับกัน ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง
ทั้งจากนโยบายการคลังของประเทศสมาชิก และต้นทุนทางการเมืองจากนโยบายรวมยุโรป
ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) แม้จะเริ่มทยอยยุตินโยบายดอกเบี้ยติดลบแล้ว
แต่ยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อไม่ให้กระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินภายในประเทศ
·
ขณะที่เศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วกำลังเผชิญความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น ตลาดเกิดใหม่กลับได้รับแรงส่งบางประการจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่น
โดยเฉพาะ เอเชียเกิดใหม่ (ไม่รวมจีน) ที่ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตโลก
คาดว่าเอเชียแปซิฟิกจะเติบโตได้ถึง 3.9% ในปี 2025 แม้การเติบโตอาจชะลอลงเล็กน้อย แต่กลุ่มประเทศอย่างอินเดีย อินโดนีเซีย
ไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ยังคงเติบโตเหนือค่าเฉลี่ยโลก
โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคในประเทศ เงินเฟ้อที่ลดลง
และทิศทางดอกเบี้ยขาลงที่เปิดช่องให้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น นอกจากนี้
การกระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีน (China+1 Strategy) ยังเอื้อให้ประเทศเหล่านี้กลายเป็นฐานการผลิตสำคัญในระดับภูมิภาค
·
อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคเกิดใหม่อื่น ๆ กลับมีแนวโน้มผลกระทบที่แตกต่างหลากหลาย
ยุโรปตะวันออก คาดว่าจะเติบโตประมาณ 2.5% โดยแรงส่งหลักมาจากการจ้างงานและอุปสงค์ในประเทศ
แต่ยังถูกจำกัดด้วยอัตราเงินเฟ้อที่ยังไม่ลดลง และนโยบายการเงินที่ยืดหยุ่นได้น้อย
ในรัสเซียและตุรกี ความผันผวนทางเศรษฐกิจยังคงสูง ขณะที่ ละตินอเมริกา เผชิญกับความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการคลัง
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ตกต่ำ และค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น
แม้เม็กซิโกจะได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากสหรัฐฯ และจีน (nearshoring)
ก็ตาม แอฟริกาและตะวันออกกลาง ก็มีภาพที่ผสมผสาน โดยกลุ่มประเทศอ่าวยังคงมีเสถียรภาพจากรายได้พลังงาน
แต่ประเทศอย่างอียิปต์ ซูดาน และพื้นที่ในเลแวนต์
ยังคงเผชิญความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์อย่างต่อเนื่อง
·
ภาคธุรกิจทั่วโลกจึงต้องเร่งปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนภาษี โดยใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น
การนำเข้าสินค้าล่วงหน้า (frontloading) การเปลี่ยนแหล่งผลิต (relocation)
และการปรับกลยุทธ์ราคาขาย โดยเฉพาะบริษัทสหรัฐฯ เช่น Costco ที่เพิ่มสินค้าคงคลังขึ้น 10% และ Williams-Sonoma
เพิ่มขึ้น 6.9% เพื่อรองรับความต้องการล่วงหน้าในช่วง
6 เดือน อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้ก็มีความเสี่ยงหากอุปสงค์ผู้บริโภคไม่เป็นไปตามที่คาด
นอกจากนี้ บริษัทจำนวนมากยังย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เม็กซิโก และสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีโดยตรง
พร้อมเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับห่วงโซ่อุปทานที่เริ่มถูกกดดันจากความขัดแย้งทางการเมืองและนโยบาย
·
ตลาดทุนเริ่มสะท้อนความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
โดยเฉพาะในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ที่เผชิญแรงเทขายหนักในกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ขณะที่ S&P 500 ลดลงถึง 5%
ในไตรมาสแรกของปี 2025 ด้านตลาดหุ้นยุโรปกลับมีความยืดหยุ่นมากกว่า
ด้วยแรงหนุนจากงบลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะในเยอรมนี
ส่วนตลาดตราสารหนี้เริ่มแสดงสัญญาณของการกลับทิศ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ
คาดว่าจะแตะ 4.0% ในปี 2025 ก่อนลดลงในปี
2026 ตามจังหวะการลดดอกเบี้ยของ Fed ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในระยะกลาง
เมื่อเทียบกับยูโร ซึ่งอาจอ่อนค่าลงแตะระดับ 1.10 ภายในปลายปี
2026