วิจัยกรุงศรีชี้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและไทยในปี 2568ฟื้นตัวท่ามกลางกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลง
วิจัยกรุงศรี โดย ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (จำกัด) มหาชน แถลงภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี
2568 มีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 3.3%
พร้อมปรับคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ 2.7% ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจในกลุ่มอาเซียน-5 ยังเติบโตดีต่อเนื่องอยู่ที่
4.6%
เศรษฐกิจโลกในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 3.3%
แต่เป็นอัตราที่ต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต
ปัจจัยหนุนจากการผ่อนคลายลงของเงินเฟ้อซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน ขณะเดียวกันยังเปิดทางให้ประเทศแกนหลักทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและลดความเสี่ยงต่อภาวะถดถอย
อย่างไรก็ตาม การเติบโตทางเศรษฐกิจจะถูกกดดันจากหลายปัจจัย อาทิ
ผลพวงจากอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่างๆ ที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต
ท่ามกลางภาระหนี้จำนวนมากของภาครัฐและภาคเอกชน
ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์
ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
รวมทั้งความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
นอกจากนี้
การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจซึ่งนำโดยสหรัฐฯ และจีน
ผ่านการกีดกันทางการค้าด้านภาษีและมิใช่ภาษีศุลกากรที่รุนแรงขึ้น
อาจจุดชนวนสงครามการค้ารอบใหม่และตอกย้ำกระแสโลกาภิวัตน์ย้อนกลับ (Deglobalization)
ซึ่งจะสร้างแรงกระเพื่อมต่อการค้าการลงทุนและเศรษฐกิจทั่วโลก
สำหรับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตจากปัจจัยบวกชั่วคราว
ท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างในประเทศและกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลง
โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.7% ในปี 2568 ปรับดีขึ้นเล็กน้อยจาก 2.5% ในปี 2567 ด้วยแรงขับเคลื่อนสำคัญจาก (i) ภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่องแม้จะยังไม่กลับสู่ระดับก่อนการระบาดของโควิด-19
โดยคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 38 ล้านคน
เพิ่มขึ้นจาก 35.5 ล้านคนในปี 2567 ปัจจัยหนุนจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น
การปรับตัวของอุปทานทั้งจำนวนเที่ยวบินและการขยายเส้นทางการบินเพิ่มเติม
รวมทั้งมาตรการ Visa Free (ii) การใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นและกลับมาเป็นปกติหลังจากมีการเบิกจ่ายล่าช้าในปีงบประมาณ
2567 ประกอบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ที่เพิ่มขึ้นจากปีงบฯ ก่อน 4.2% และเป็นงบขาดดุลที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่
4.5% ของ GDP (iii) การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มพลิกกลับมาขยายตัวที่
2.6% หลังจากที่หดตัว -1.6% ในปี 2567 แรงหนุนจากยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในปี 2567
ที่มีมูลค่าเงินลงทุนกว่า 1.1 ล้านล้านบาท
สูงสุดในรอบ 10 ปี
ส่งสัญญาณเชิงบวกต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายในระยะข้างหน้า
ขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายอุตสาหกรรมอาจเป็นข้อจำกัดต่อการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน
อย่างไรก็ตาม แรงขับเคลื่อนที่มีแนวโน้มแผ่วลงในปี 2568 ได้แก่
(i) การส่งออก ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.7% ชะลอลงจากปี 2567 แม้ยังได้อานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าโลก
นอกจากนี้ยังได้ปัจจัยหนุนจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม
การส่งออกมีแนวโน้มเติบโตอย่างจำกัดเนื่องจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจรุนแรงขึ้น
จากการปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตในประเทศที่มีผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย
(ii) การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอลงในปี 2568 แม้คาดว่าจะขยายตัวใกล้เคียงกับการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม
ปัจจัยบวกจากการปรับดีขึ้นต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวที่หนุนการจ้างงานในภาคบริการ
มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศผ่านโครงการ Easy E-Receipt ในช่วงต้นปี รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ อย่างไรก็ตาม
การเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนยังคงถูกจำกัดเนื่องจากรายได้ที่แท้จริงของแรงงานยังฟื้นตัวช้า
ประกอบกับมูลค่าสินทรัพย์ของครัวเรือนที่ลดลงในกลุ่มรายได้ปานกลางลงมา
ขณะที่รายได้เกษตรกรมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปี 2567 ผลจากปัจจัยด้านราคาเป็นหลัก
นอกจากนี้ หนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง
แม้ภาครัฐจะมีมาตรการบรรเทาภาระหนี้แก่กลุ่มเปราะบาง
ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 2.00% ในเดือนกุมภาพันธ์
ขณะเดียวกันไม่ได้มีการส่งสัญญาณว่าเป็นวงจรดอกเบี้ยขาลง
โดยระบุว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.00% นั้นสอดคล้องกับการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจล่าสุดและสามารถรองรับความไม่แน่นอนได้ในระยะข้างหน้าได้อย่างเหมาะสม
วิจัยกรุงศรีจึงคาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.00% ในช่วงที่เหลือของปีนี้เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยปี 2568 มีแนวโน้มอยู่ใกล้ขอบล่างของกรอบเงินเฟ้อเป้าหมาย
เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ใกล้เคียงกับปีก่อน
ประกอบกับทางการยังคงดำเนินมาตรการบรรเทาค่าครองชีพทางด้านราคาพลังงานในประเทศอย่างต่อเนื่อง
อาทิ ราคาน้ำมันดีเซล และค่ากระแสไฟฟ้า
แม้เศรษฐกิจไทยโดยภาพรวมในปี 2568 จะเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปด้วยแรงสนับสนุนจากหลายปัจจัย
แต่ยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายสำคัญ ได้แก่ (i) ความตึงเครียดทางการค้าและความไม่แน่นอนของนโยบายสหรัฐฯ
รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (ii) การหลั่งไหลของสินค้านำเข้าจากจีน
(iii) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง และ (iv)
ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ภาวะสังคมสูงอายุ หนี้ครัวเรือนสูง
และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง
แนวโน้มธุรกิจและอุตสาหกรรมในปี 2568
ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของไทยโดยรวมในปี 2568
มีทิศทางทยอยฟื้นตัวอย่างช้าๆ จากการขยายตัวของเศรษฐกิจ
การท่องเที่ยว และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากภาคบริการสมัยใหม่
เช่น ธุรกิจโรงแรมและโรงพยาบาล
รวมถึงอุตสาหกรรมไฮเทคอย่างรถยนต์ไฟฟ้าและดาต้าเซนเตอร์ที่สอดรับกับอุตสาหกรรม 5.0 ที่มุ่งเน้นรองรับเทคโนโลยีดิจิทัลพร้อมไปกับกระแสรักษ์โลก ขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์และอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
แม้จะมีปัจจัยท้าทายจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและความตึงเครียดทางการค้าที่อาจกระทบการส่งออก
แนวโน้มเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียนในปี 2568
เศรษฐกิจอาเซียน-5 ในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว
4.6% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 4.5% โดยมีแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศ การส่งออก
และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ได้รับอานิสงส์จากกระแสการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม
ในปีนี้อาเซียนยังคงเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่อาจเพิ่มความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจผ่านทั้งช่องทางการค้าและช่องทางการเงิน
เนื่องจากอุปสงค์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และจีน เริ่มอ่อนแรงลง
จากความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น
อีกทั้งยังมีความท้าทายจากการนำภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax:
GMT) มาใช้ ซึ่งอาจกระทบต่อกระแสการลงทุนจากต่างประเทศ
ด้านนโยบายการเงินในปีนี้
คาดว่าธนาคารกลางในภูมิภาคมีแนวโน้มดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไป
สอดคล้องกับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี
ความเสี่ยงจากภาวะการเงินโลกที่อาจตึงตัวขึ้นอันเป็นผลจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อจังหวะและขนาดของการปรับอัตราดอกเบี้ยในแต่ละประเทศ