กสิกรไทย จับมือ สมาคมไทย-ญี่ปุ่น และ หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯจัดงานสัมมนามุ่งเสริมความร่วมมือรับความท้าทายการค้าโลก
ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ
สมาคมไทย-ญี่ปุ่น (TJA) และหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ
จัดงานสัมมนา "Strengthening Thailand-Japan Cooperation on the Face
of Renewed Trade Tensions" เพื่อเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการไทย-ญี่ปุ่นได้ยกระดับความร่วมมือในการเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก
และเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการสนับสนุนธุรกิจญี่ปุ่นในประเทศไทยตลอดจนแลกเปลี่ยนมุมมองทางธุรกิจ
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า
บริษัทญี่ปุ่นมีศักยภาพในการขยายการลงทุนและสร้างการเติบโตในหลากหลายภาคส่วน
โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง
ทำให้นักลงทุนและธุรกิจญี่ปุ่นในประเทศไทยกำลังเผชิญทั้งโอกาสและความท้าทายที่สำคัญ
โดยธนาคารกสิกรไทยพร้อมสนับสนุนภาคธุรกิจไทยและญี่ปุ่น
ในการปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ผ่านบริการทางการเงินที่หลากหลาย
การให้คำปรึกษา รวมทั้งการเชื่อมต่อภูมิภาค AEC+3
นายพิพิธ
เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า
ญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับภูมิภาค
โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์
ท่ามกลางความผันผวนของภูมิทัศน์การค้าโลก
ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างไทยและญี่ปุ่นได้พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังของการร่วมมือกัน
ด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือในภาคส่วนที่มีความสำคัญ อาทิ เทคโนโลยี ความยั่งยืน
และภาคการผลิต เราสามารถยกระดับสถานะของเราบนเวทีโลกและสร้างเส้นทางสู่ความสำเร็จในอนาคต
ด้วยการเปิดการเจรจา การสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์
และการมีวิสัยทัศน์ร่วมกันเพื่อมุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืน
ไทยและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่ยาวนานและแข็งแกร่ง
โดยเฉพาะในภาคการผลิต ในช่วง 40
ปีที่ผ่านมา การลงทุนสะสมจากญี่ปุ่นมายังประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 4
ล้านล้านบาท คิดเป็น 40% ของการลงทุนโดยตรง (FDI) จากต่างประเทศทั้งหมดในประเทศไทยซึ่งความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นและไทยเป็นรากฐานสำคัญในการเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการค้าโลก
ท่ามกลางแรงกดดันจากสงครามการค้ารอบใหม่ "อเมริกามาก่อน" (America First) ไทยและญี่ปุ่นมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลประทบ
เนื่องจากเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน Global Minimum Tax กำลังบั่นทอนประสิทธิภาพของผลประโยชน์ประโยชน์ทางภาษี
ทำให้การแข่งขันทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก โดยจีนกลายเป็นผู้นำการส่งออกรถยนต์ของโลก
ซึ่งส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมนี้ ดังนั้นในสถานการณ์นี้การกระชับความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่นจึงมีความสำคัญยิ่ง
ในด้านนโยบายและแผนรับมือกับสงครามการค้ารอบใหม่
รัฐบาลไทยตระหนักถึงความสำคัญของการลงทุนจากญี่ปุ่นในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ของเอเชีย
รัฐบาลเข้าใจความต้องการของภาคธุรกิจญี่ปุ่นและพร้อมช่วยแก้ไขปัญหาที่ผู้ประกอบการญี่ปุ่นกำลังเผชิญอยู่
ไทยและญี่ปุ่นสามารถร่วมกันฝ่าฟันความท้าทายจากความตึงเครียดทางการค้าและความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ด้วยการสร้างระบบเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่น
เน้นนวัตกรรม และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
นโยบายสำคัญของรัฐบาลประกอบด้วย การลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฮบริด
การส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ
การสนับสนุนธุรกิจดิจิทัลและธุรกิจที่ยั่งยืน
การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดเพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศ
การอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ มาตรการลดมลพิษทางอากาศ
และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นอกจากนี้
รัฐบาลยังมุ่งขยายความร่วมมือทางการค้าผ่านข้อตกลงการค้าเสรี (FTAs) กับประเทศต่างๆ
เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการค้าและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ
รวมถึงการใช้ไทยเป็นศูนย์กลางยุทธศาสตร์ของอาเซียนสำหรับธุรกิจญี่ปุ่น
นอกจากนี้แล้ว
การฟื้นฟูการบริโภคภายในประเทศและการวางกลยุทธ์ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
ก็เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะการจัดการกับการไหลเข้าของสินค้าจีนในระยะสั้น
ในระยะกลางถึงยาว รัฐบาลต้องยกระดับอุตสาหกรรมไทย พัฒนาการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์
และทำให้เศรษฐกิจนอกระบบเป็นทางการ นอกจากนี้
การสร้างสภาพแวดล้อมทางการตลาดที่เป็นธรรมและมีการแข่งขันด้วยกฎระเบียบที่ชัดเจนและการบังคับใช้ที่สม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุน
โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ
นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ โดยความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่นจะเป็นรากฐานสำคัญในการเผชิญกับความท้าทายทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ในอนาคต
เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่น นวัตกรรม
และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นสำหรับประเทศไทย
นายพิพิธ กล่าวในตอนท้ายว่า ความร่วมมือระหว่างไทย-ญี่ปุ่นเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศไปสู่ความก้าวหน้าร่วมกันในอนาคต
ประเทศไทยต้องการการเปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนด้วยเทคโนโลยีที่นำสมัย ท่ามกลางความผันผวนของภูมิทัศน์การค้าโลก
ประเทศไทยและญี่ปุ่นจะส่งเสริมความร่วมมือทางนวัตกรรม เทคโนโลยี และความยั่งยืน
เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศ รวมทั้งประชาคมอาเซียน ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น
ยังคงแข็งแกร่ง และมองไปข้างหน้าเพื่อสร้างอนาคตที่รุ่งเรืองสำหรับคนรุ่นต่อไป