“เอสซีจี” สะท้อนมุมคิด สร้าง “โอกาสและทางออก” ในวิกฤต ฉายภาพ New Normal มองแนวโน้ม “อาเซียน” โอกาสของการลงทุน
ท่ามกลางความไม่แน่นอนสูงในหลายด้านที่ภาคธุรกิจกำลังเผชิญ
ทั้งการแพร่ระบาดของโควิด 19 เงินเฟ้อและสถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย
“เอสซีจี” เดินหน้าปรับวิธีการทำงานให้ยืดหยุ่น คล่องตัว เพื่อรับมือกับความท้าทายที่เข้ามาได้อย่างทันท่วงที
พร้อมมุ่งมั่นมองหาโอกาส (Opportunity) และทางออก (Solution) รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกสู่ New Normal ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
หลังวิกฤตถึงจุดสิ้นสุด ตอบโจทย์สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส
กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า สถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย มีผลกระทบไปทั่วโลกในหลายด้าน
โดยเฉพาะราคาน้ำมันและต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ถือเป็นประเด็นหลักในขณะนี้ ซึ่งเอสซีจีได้ติดตามสถานการณ์มาต่อเนื่อง
เพราะราคาน้ำมันเกี่ยวข้องโดยตรงกับราคาวัตถุดิบหลักในธุรกิจเคมิคอลส์ของเอสซีจี
นอกเหนือจากต้นทุนราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น โดยองค์ประกอบสถานการณ์ที่นำมาวิเคราะห์มี
4 เรื่อง ประกอบด้วย 1.สถานการณ์สู้รบในยูเครน
2.สงครามเศรษฐกิจ (Sanction) ผลกระทบต่อการค้าและการลงทุน
3. เรื่องพลังงาน ทั้งปริมาณการผลิต (Supply) และความต้องการใช้(Demand) ของน้ำมัน รวมถึงก๊าซ และ
4. แนวโน้มความตึงเครียดทางการเมืองในยุโรป รัสเซีย นาโต
สหรัฐฯ และจีน รวมถึงระยะเวลาการจบเรื่องนี้ ซึ่งจะจบแบบไหน และส่งผลอย่างไร
เปิดผลกระทบต่อ 3 ธุรกิจหลัก “เคมิคอลส์” หนักสุด
สำหรับผลกระทบต่อ 3 ธุรกิจหลักของเอสซีจีจะมีไม่เท่ากัน โดยธุรกิจเคมิคอลส์
ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะนอกจากแบกรับต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นแล้ว
วัตถุดิบหลักของธุรกิจยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับราคาน้ำมัน ส่วนธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง
จะกระทบในเรื่องของต้นทุนพลังงาน เนื่องจากราคาถ่านหินปรับตัวขึ้นมากเช่นกัน
ขณะที่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ได้รับผลกระทบน้อยกว่าอีกสองธุรกิจ
เพราะพลังงานไม่ได้เป็นต้นทุนหลักของธุรกิจ และการจับจ่ายใช้สอยของผู้คนยังไม่สะดุด
โดยคนส่วนใหญ่มองว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องไกลตัว
“ผลกระทบครั้งนี้แรงมาก
เพราะธุรกิจเคมิคอลส์เป็นครึ่งหนึ่งของเอสซีจี ต้องเจอทั้งเรื่องราคาวัตถุดิบหลักและต้นทุนพลังงานพุ่งสูงมาก
ทั้งสี่ปัจจัยเป็นสิ่งที่เรานำมาใช้ในการวิเคราะห์ว่าต้องรับมืออย่างไร
และนำวิธีอะไรมาใช้รับมือตรงนี้ แต่ต้องยอมรับว่าปัจจัยทั้งสี่เรื่องนั้น
เราแทบทำอะไรไม่ได้เลย เพราะควบคุมไม่ได้ จึงต้องมาดูว่าอะไรที่เราควบคุมได้และต้องทำ
เช่น การประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทางเลือก และเรื่องการลงทุน เป็นต้น
ส่วนเรื่องขึ้นราคาสินค้าแม้จะทำได้แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีเรื่องของการแข่งขัน
ซึ่งต้องดูว่าตลาดตรงไหนสามารถปรับราคาได้ ไม่กระทบกับผู้บริโภคโดยตรง และการขึ้นราคาต้องโปร่งใสและเป็นธรรม
มีการบอกต้นทุนเก่าและใหม่ให้ชัดเจน เพื่อความอยู่รอดในระยะยาว” นายรุ่งโรจน์
กล่าว
“บริหารความเสี่ยง-ปรับแผนลงทุน-ทำตัวให้เบา”
รับมือต้นทุนพุ่ง
สำหรับกลยุทธ์ในการรับมือกับสถานการณ์ยูเครน-รัสเซียนั้น
เอสซีจีเน้นเรื่องบริหารความเสี่ยง การรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้น และปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์
มีความยืดหยุ่น คล่องตัว รวมทั้งทำตัวให้เบา คือ right
sizing หรือ slim sizing พยายามบริหารจัดการสินค้าคงคลังให้สอดคล้องกับความต้องการ
โดยสิ่งที่ทำเป็นอันดับแรกเป็นการปรับแผนการลงทุน ที่แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ หนึ่งโครงการที่ดำเนินการอยู่ใกล้จะเสร็จสิ้นก็พร้อมสานต่อให้จบ
สองโครงการที่กำลังเริ่มและต้องใช้เวลานานคงต้องพักไว้ก่อน สุดท้ายโครงการที่ควรลงทุนในระยะยาว
เช่น เรื่องพลังงาน energy transition ซึ่งตรงกับ low
carbon strategy หรือไปถึง net zero เรื่องของดิจิทัล
รวมทั้งทำให้ Supply chain เข้มแข็ง
มองภาพยุค New Normal ปักหมุด “อาเซียน” โอกาสในการลงทุน
ผลกระทบกับเศรษฐกิจในแต่ละกลุ่มประเทศจะไม่เท่ากัน
เช่นในอาเซียน ประเทศที่พึ่งพาน้ำมันมากจะได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศที่พึ่งพาน้อย
จึงต้องมาคิดปรับเปลี่ยนโครงสร้างการใช้พลังงานให้น้อยลงและมีประสิทธิภาพสูงสุด
เพราะในระยะยาวแม้สถานการณ์คลี่คลายแต่ราคาน้ำมันคงไม่กลับมาเท่าเดิม
และสงครามเศรษฐกิจอาจยังคงอยู่ ดังนั้น New Normal คือ ราคาต้นทุนพลังงานที่สูง และความร่วมมือแบบเดิมของกลุ่มประเทศต่าง ๆ
ก็ยากขึ้น ซึ่งมองว่าอาเซียนจะได้ประโยชน์ เนื่องจากไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด
และมีกำลังซื้อสูงจากจำนวนประชากรกว่า 600 ล้านคน
หากมีการประชาสัมพันธ์ให้ดีจะมีเงินไหลเข้ามาลงทุน โดยขณะนี้นักลงทุนได้ปรับยุทธศาสตร์ใหม่
หันไปลงทุนในตลาดที่ตัวเองขาย ไม่ใช่ต้นทุนถูกที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสของประเทศไทย
จึงต้องทำตัวให้โดดเด่น ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนที่มองหาตลาดแรงงานที่มีความรู้และทักษะพร้อม
ที่สำคัญคือมีระบบป้องกันทรัพย์สินทางปัญญาที่ดี
เพราะนักลงทุนจะกลัวเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างมาก
“ทางรอดของธุรกิจ นอกจากเงื่อนไขเรื่องความเข้าใจในสถานการณ์ความขัดแย้ง
และองค์ประกอบ 4 เรื่องแล้ว ในระยะสั้นทุกคนต้องประเมินความเสี่ยงก่อน
ว่าทำอะไรได้แค่ไหน และเตรียมพร้อมอยู่เสมอคือ พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ นำมาใช้ในการทำงานอย่างรวดเร็ว
พร้อมปรับตัวในแง่ธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์การลงทุน กลยุทธ์การหาตลาดให้เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจ
ทำตัวให้เบา บริหารเงินทุนหมุนเวียนให้ดี ระมัดระวังในการก่อหนี้
ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณเตือนแล้วว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 6 ครั้งในปีนี้ ตลอดจนทำ supply chain ให้เข้มแข็ง รวมถึงการลดใช้พลังงานในระยะยาว”