สวทช.-อภ.-ปตท. ผนึกกำลังต่อยอดการวิจัยและพัฒนาวัตถุดิบทางยา ส่งเสริมความมั่นคงด้านสุขภาพให้คนไทย
ต่อยอดความสำเร็จการพัฒนาและวิจัยกระบวนการสังเคราะห์สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม
(Active Pharmaceutical Ingredients; API) ศึกษาศักยภาพเชิงพาณิชย์
มุ่งลดพึ่งพาการนำเข้า ส่งเสริมความมั่นคงด้านสุขภาพให้คนไทย
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
(สวทช.) นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการ องค์การเภสัชกรรม (อภ.) และ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.)
ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา
“กระบวนการสังเคราะห์สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (Active Pharmaceutical Ingredients; API) และ
ศึกษาความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ และ/หรือการสร้างความมั่นคงทางยาให้แก่ประเทศไทย”
ส่งเสริมยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน New
S-Curve ด้านอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร ตั้งเป้าระยะแรกเน้นการวิจัยและพัฒนา
API สำหรับโรค COVID-19 รวมถึง API ของ ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) และ ยาเรมเดซิเวียร์ (Remdesivir)
API เป็นสารตั้งต้นสำหรับการผลิตยา
โดยปัจจุบันประเทศไทยยังต้องมีการนำเข้า API จากต่างประเทศมากกว่า
95% ความร่วมมือในครั้งนี้ ครอบคลุมตั้งแต่การทดสอบในระดับห้องปฏิบัติการ
(Laboratory scale) การถ่ายทอดเทคโนโลยีจนถึงระดับอุตสาหกรรม
(Industrial scale)
ตลอดจนการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (Feasibility
Study) ที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะส่งเสริมให้ประเทศไทยมีสาธารณสุขที่มั่นคงต่อไป
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า “สวทช. เป็นหน่วยงานด้านการวิจัยและพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี และนวัตกรรม
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ประเทศไทยอย่างยั่งยืน ซึ่ง สวทช.
มีองค์ความรู้ บุคลากร ความเชี่ยวชาญ
และเทคโนโลยีทางด้านเคมีสังเคราะห์ที่จะช่วยหนุนเสริมองค์การเภสัชกรรมในการผลิตสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม
ได้เองภายในประเทศ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านอุตสาหกรรมยาแบบครบวงจร
และส่งเสริมงานด้านสาธารณสุขของประเทศ สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
BCG ตั้งเป้าสร้างศักยภาพการผลิตยาในประเทศ
เพื่อความมั่นคงด้านสุขภาพของคนไทยในอนาคต
ดังจะเห็นได้จากที่ผ่านมา นักวิจัย สวทช.
ร่วมกับองค์การเภสัชกรรม วิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์
สำหรับต้านโรค COVID-19 ขึ้นเองภายในประเทศ
นับว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่ตอบโจทย์วงการแพทย์และสาธารณสุขของไทย
ทำให้ไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้ายาฟาวิพิราเวียร์จากต่างประเทศ
ช่วยยกระดับขีดความสามารถทางด้านการผลิตยาของประเทศ ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้
รวมทั้งเป็นฐานในการสร้างอุตสาหกรรม API ของประเทศ
ความร่วมมือในครั้งนี้ สวทช.
พร้อมที่จะสนับสนุนนักวิจัยที่มีองค์ความรู้ และความสามารถในการวิจัย พัฒนา และปรับปรุงกระบวนการสังเคราะห์สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรมในระดับห้องปฏิบัติการ
เพื่อถ่ายทอดให้กับองค์การเภสัชกรรมต่อยอดไปสู่ระดับโรงงานต้นแบบ
และพร้อมสนับสนุนข้อมูลให้แก่ ปตท.
เพื่อใช้ในการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรมที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์
เพื่อผลิตสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (API)
ในระดับอุตสาหกรรมต่อไป”
นายแพทย์วิฑูรย์
ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการ องค์การเภสัชกรรม กล่าวว่าอุตสาหกรรมยาในประเทศไทย
ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศกว่า 95% และจากการระบาดของโรค COVID-19 ทั่วโลก
ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนวัตถุดิบยาสำหรับรักษาโรค COVID-19
และวัตถุดิบยาจำเป็นอื่นๆ เนื่องจากประเทศหลัก ๆ ที่ผลิตวัตถุดิบยา
อย่างเช่น จีน และ อินเดีย
ต่างก็มีปัญหาทั้งในเรื่องการขนส่งวัตถุดิบข้ามประเทศและอีกทั้งยังต้องสำรองวัตถุดิบยารักษาโรค
COVID-19 และวัตถุดิบยาจำเป็นไว้ใช้ในประเทศตัวเอง
ซึ่งการที่ประเทศไทยมีการผลิตวัตถุดิบทางยาขึ้นสำหรับใช้เองจะเป็นการสร้างความมั่นคง
และการพึ่งพาตนเองด้านยาของประเทศได้ดียิ่งขึ้น และยังเป็นการสร้าง Ecosystem
ในการวิจัยและพัฒนาวัตถุดิบที่เป็นตัวยาใหม่ (NCE, New
Chemical Entities) ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยยังไม่เคยทำได้
ความร่วมมือนี้
องค์การเภสัชกรรมซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านเภสัชกรรมทั้งวัตถุดิบและยาสำเร็จรูป
จะทำหน้าที่นำเทคโนโลยีการสังเคราะห์วัตถุดิบที่ทาง สวทช. ได้พัฒนาจนสำเร็จในระดับห้องปฏิบัติการแล้ว
มาพัฒนาต่อยอดกระบวนการสังเคราะห์ในระดับกึ่งอุตสาหกรรมเพื่อสร้างต้นแบบกระบวนการสังเคราะห์ที่พร้อมสำหรับการผลิตในระดับอุตสาหกรรม
ซึ่ง ปตท. สวทช. และ อภ. จะร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ต่อไป
นายอรรถพล
ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด
(มหาชน) กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้ สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐในการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย
(New S-curve) ที่มีความจำเป็นต่อการขับเคลื่อนประเทศไทย ไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ในด้านการพัฒนาสุขภาพและการแพทย์ของประเทศ มุ่งเพิ่มขีดความสามารถในการพึ่งตนเอง
ด้วยการวิจัย พัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรม และการผลิต โดยองค์กรหรือบริษัทเอกชนไทย เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน
สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป็นฐานการผลิตเพื่อความมั่นคงด้านสุขภาพของคนไทย
ดังนั้น ความสามารถในการดำเนินการด้านยาแบบครบวงจร
ตั้งแต่ระดับต้นน้ำจนถึงปลายน้ำของประเทศ จะช่วยเสริมความมั่นคงในอุตสาหกรรมยาของประเทศ
ตลอดจนลดการพึ่งพาการนำเข้า โดยเฉพาะยาที่มีความจำเป็นต้องใช้เร่งด่วน อาทิ ยาที่ช่วยรักษาโรค
COVID-19 ในปัจจุบัน
ในความร่วมมือนี้
ปตท. จะดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของ API ที่วิจัยและพัฒนาขึ้นมาในเชิงพาณิชย์ ตลอดจนรูปแบบโมเดลธุรกิจที่เหมาะสม
เพื่อต่อยอดการวิจัยและพัฒนา API ของไทยให้มีคุณภาพมาตรฐานสากล
สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ทั้งนี้ ปตท. ตั้งเป้าขับเคลื่อนธุรกิจ Life
Science ให้เห็นผล
เชิงรูปธรรม จึงได้จัดตั้งบริษัท อินโนบิก
(เอเซีย) จำกัด เมื่อเดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยมีวิสัยทัศน์ คือ
บริษัทชั้นนำด้านชีววิทยาศาสตร์ในภูมิภาคที่มีวิทยาศาสตร์อันเป็นเลิศ
เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน”
ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการวิจัยและพัฒนา
API จนถึงขั้นผลิตออกสู่ตลาดได้นั้น
จำเป็นต้องประกอบด้วย ศักยภาพในการวิจัยและพัฒนา
ความเชี่ยวชาญในการผลิตเพื่อให้ได้มาตรฐาน
และความสามารถในการพัฒนาธุรกิจเชิงพาณิชย์ และด้วยศักยภาพความเชี่ยวชาญของทั้ง 3
องค์กร
จะช่วยส่งเสริมให้โครงการสามารถสัมฤทธิ์ผลได้ ทั้งนี้ การศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนา
API ที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์
คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3 ปี