ราช กรุ๊ป โชว์กำไรครึ่งปีแรก 4,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73%เตรียมรับรู้รายได้อีก 2 โครงการ 160 เมกะวัตต์ในครึ่งปีหลัง
บริษัท
ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน) ของปี
2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 4,210.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจัยบวกมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้การขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าในออสเตรเลียและส่วนแบ่งกำไรของกิจการร่วมทุน
ขณะที่ต้นทุนและค่าใช้จ่ายลดลงด้วย สำหรับในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ
คาดว่าจะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าอีก 2 แห่ง กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม
160.31 เมกะวัตต์ ที่มีกำหนดจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม ศกนี้ ได้แก่
โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเรียว กำลังผลิตติดตั้งรวม 296.23 เมกะวัตต์ ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ
ในอินโดนีเซีย (บริษัทฯถือหุ้น 49%) และโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีโค่วิน
กำลังการผลิตติดตั้งรวม 29.70 เมกะวัตต์ ในเวียดนาม (บริษัทฯ ถือหุ้น 51.04%)
ซึ่งจะส่งผลให้ฐานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ส่วนการลงทุนในธุรกิจที่นอกเหนือผลิตไฟฟ้า ในครึ่งปีแรกบริษัทฯ
ได้เข้าลงทุนในธุรกิจบริการสุขภาพ 1 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 1,557.71 ล้านบาท
นายกิจจา
ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินงานในรอบครึ่งแรกของปี
2564 สะท้อนถึงความสามารถในการรักษาประสิทธิภาพการผลิตของกลุ่มโรงไฟฟ้าที่เป็นสินทรัพย์หลักของบริษัทฯ
ได้เป็นอย่างดี ซึ่งกำลังผลิตเชิงพาณิชย์ที่บริษัทฯ รับรู้จากการลงทุน รวม 7,053
เมกะวัตต์ และสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ เป็นเงินจำนวน 18,948.66 ล้านบาท (จากรายได้รวม 19,217.47
ล้านบาท) โดยจำนวนนี้เป็นรายได้จากกลุ่มโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลัก
จำนวน 17,628.34 ล้านบาท และรายได้จากกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน จำนวน 1,320.32 ล้านบาท สำหรับความก้าวหน้าในการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้
บริษัทฯ ได้ใช้เงินลงทุนในโครงการเดิมที่ร่วมทุนแล้ว และโครงการใหม่ รวมเป็นเงิน
5,440 ล้านบาท โดยโครงการใหม่ ได้แก่ การเข้าซื้อหุ้น 10% ของบริษัท
พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีโค่วิน
ในเวียดนาม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ลงนามสัญญาร่วมทุน 2 โครงการในสปป. ลาว
ซึ่งเป็นการลงทุนผ่านบริษัท ราช-ลาว เซอร์วิส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในสปป. ลาว
ได้แก่ โครงการผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง (ถือหุ้น 25%) และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์
อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ (ถือหุ้น 9.91%)
ซึ่งมีกำหนดชำระเงินลงทุนในไตรมาสที่ 3
“บริษัทฯ
ยังคงมุ่งแสวงหาการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ
โดยเน้นโครงการที่ดำเนินงานเชิงพาณิชย์แล้ว เพื่อให้สามารถรับรู้รายได้ทันที ในปีนี้บริษัทฯ
มีแผนจะเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าให้ถึง 8,874 เมกะวัตต์ ซึ่งจะต้องลงทุนเพิ่มอีก 584
เมกะวัตต์เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ปัจจุบัน บริษัทฯ
ได้เจรจาเพื่อเข้าร่วมลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักและพลังงานทดแทนที่ดำเนินงานแล้วในต่างประเทศ
หากดำเนินการได้สำเร็จ บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตเชิงพาณิชย์เพิ่มอีกประมาณ 970
เมกะวัตต์ และรับรู้รายได้ในทันที นอกจากนี้ บริษัทฯ
ยังได้วางแผนการจัดหาเงินรองรับการลงทุนของบริษัทฯ ในช่วงปี 2564-2568
ทั้งการจัดหาเงินกู้และการเพิ่มทุน เพื่อให้เป้าหมาย 10,000 เมกะวัตต์สำเร็จ ขณะที่ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ
ก็ยังมั่นคงและสามารถสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืนด้วย” นายกิจจา
กล่าว
ในช่วงครึ่งปีแรก
บริษัทฯ รับรู้กำลังการผลิตติดตั้งตามการถือหุ้นรวม 8,290 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย กำลังผลิตจากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ
5,879 เมกะวัตต์ (71%) โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงถ่านหิน 888 เมกะวัตต์ (11%) โรงไฟฟ้าพลังน้ำ 488 เมกะวัตต์ (6%) โรงไฟฟ้าพลังงานลม
720 เมกะวัตต์ (9%) ที่เหลือเป็นกำลังการผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
ชีวมวล และพลังงานนิวเคลียร์ รวม 319 เมกะวัตต์ (3%) สำหรับกำลังการผลิตเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ รวม 7,053 เมกะวัตต์
และกำลังการผลิตที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง รวม 1,237 เมกะวัตต์ ซึ่งในจำนวนนี้มี 160
เมกะวัตต์ จะแล้วเสร็จและผลิตไฟฟ้าจำหน่ายในไตรมาส 4 ปีนี้
ผลการดำเนินงานรอบ
6 เดือนแรกปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 19,217.47
ล้านบาท ประกอบด้วย
รายได้จากการขายและบริการและรายได้ตามสัญญาเช่าการเงินของโรงไฟฟ้าที่บริษัทฯ
ควบคุมจำนวน 15,788.60 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 82.2% ส่วนแบ่งกำไรของกิจการร่วมทุน
จำนวน 3,011.65 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15.67%
และรายได้จากดอกเบี้ยและอื่นๆ จำนวน 417.22 ล้านบาท
ฐานะการเงินของบริษัทฯ ณ วันที่ 30
มิถุนายน 2564 มีสินทรัพย์รวมจำนวน
123,232.70 ล้านบาท หนี้สินจำนวน57,118.07 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 66,114.63 ล้านบาท ทั้งนี้
บริษัทฯ ยังมีศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งสะท้อนจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน
0.58 เท่า อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้
(DSCR) 5.63 เท่า และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น
11.94%