ทางออกน้ำมันแพง : กำหนดเพดานกำไร ปรับโครงสร้างราคา เปลี่ยนนโยบายด้านพลังงาน
ในช่วง
4 เดือนที่ผ่านมา (เดือนกุมภาพันธ์ - เดือนมิถุนายน) รัฐบาลได้ประกาศลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลง
รวมลิตรละ 5 บาท เพื่อแก้ปัญหาราคาน้ำมันและข้าวของแพง
เนื่องจากน้ำมันดีเซลเป็นน้ำมันที่ใช้ในภาคขนส่ง
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ค่าเดินทาง และค่าครองชีพของประชาชน
แต่จากการที่สภาองค์กรของผู้บริโภคได้ติดตามราคาพลังงานกลับพบว่า แม้รัฐบาลจะประกาศลดภาษีสรรพสามิตลง
แต่ก็ไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันหน้าปั๊มลดลงแต่อย่างใดทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
ข้อมูลจากเวทีเสวนา
‘แนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำมันแพงของรัฐ
เรามาถูกทางหรือยัง’ ซึ่งจัดโดยสภาองค์กรของผู้บริโภค เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นถึงสาเหตุของปัญหาน้ำมันแพงในปัจจุบัน
ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับค่าการกลั่น
การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นโดยให้อ้างอิงราคาจากตลาดประเทศสิงคโปร์รวมไปถึงการกำหนดนโยบายของรัฐ
ส่งผลให้ประชาชนต้องใช้น้ำมันในราคาแพงกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งนี้ ทางออกของปัญหาน้ำมันแพงที่ถูกหยิบยกขึ้นมานำเสนอ
มีทั้งการกำหนดเพดานอัตรากำไร การเก็บภาษีลาภลอย การแก้ไข้กฎหมายเกี่ยวกับคุณสมบัติข้าราชการในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจ
ไปจนถึงทางออกในระยะยาวอย่างการเปลี่ยนผ่านจากปิโตรเลียมไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า
สำหรับสาเหตุของน้ำมันแพงที่ถูกพูดถึงในเวทีเสวนา
มีทั้งปัจจัยด้านต้นทุน โครงสร้างราคาน้ำมัน รวมไปถึงลักษณะการแข่งขันของตลาดพลังงานในประเทศไทยด้วย
โดยในสถานการณ์ปัจจุบัน ‘ค่าการกลั่น’ เป็นปัจจัยที่หลักที่ทำให้ผู้บริโภคต้องใช้น้ำมันในราคาที่ไม่เป็นธรรม
ผศ.ประสาท มีแต้ม ประธานอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค
อธิบายว่า ค่าการกลั่น คือ
ส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นลบด้วยต้นทุนค่าน้ำมันดิบ
ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลค่าการกลั่นย้อนหลัง 10 ปี (ปี 2555 – 2565) ควบคู่ไปกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
พบว่าค่าการกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่ไม่เกิน 2 บาทต่อลิตร
หรือเกินมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ประมาณ 100 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ขณะที่ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 110 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ซึ่งจะเห็นได้ว่าราคาน้ำมันดิบไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่เมื่อรัฐบาลปรับลดภาษีสรรพสามิตลง
ค่าการกลั่นกลับปรับเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 3 เท่า
“ในระยะเวลา
4 เดือน
ค่าการกลั่นถูกปรับเพิ่มขึ้นถึง 4.77 บาทต่อลิตร
คือเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ค่าการกลั่นอยู่ที่ 1.58 บาทต่อลิตร
แต่ข้อมูลเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2565 พบว่าค่าการกลั่นดีดตัวขึ้นมาอยู่ที่ 6.55 บาทต่อลิตร
และมีแนวโน้มว่าจะมีการปรับเพิ่มขึ้นอีก” ผศ.ประสาท กล่าว
อรรถวิชช์
สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า ระบุว่า
สถานการณ์ค่าการกลั่นที่พุ่งสูงขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ นั้นเกิดขึ้นทั่วโลก เช่น ในสหภาพยุโรป
รวมถึงสหรัฐอเมริกา และเป็นปัญหาที่รัฐบาลหลายประเทศพูดถึงและกำลังเร่งแก้ไขปัญหา
เนื่องจากค่าการกลั่นไม่ใช่ต้นทุนจริงของโรงกลั่น แต่เป็นราคาที่ถูกสมมติขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาตัวเลขค่าการกลั่นนี้ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
แต่ในช่วงภาวะสงคราม ราคาสมมตินี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รัฐบาลไทยยังคงวางเฉย
นอกจากค่าการกลั่นแล้ว
‘โครงสร้างราคาน้ำมัน’ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้น้ำมันแพง ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี
นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน อธิบายว่า
ปัจจุบันการกำหนดราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นในประเทศไทย
อ้างอิงราคาจากตลาดสิงคโปร์
บวกด้วยค่าขนส่งน้ำมันจากสิงคโปร์มายังโรงกลั่นในประเทศไทย ค่าประกันภัย และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
กลายเป็นค่าใช้จ่ายทิพย์ ที่บวกให้กับผู้ประกอบการ ทั้งที่น้ำมันสำเร็จรูปที่ใช้ในประเทศไทยเกือบทั้งหมดเป็นน้ำมันที่กลั่นในประเทศไทย
เมื่อบวกกับค่าการตลาดและภาษีต่าง ๆ ก็ทำให้ผู้บริโภคต้องใช้นำมันในราคาแพงและไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
ทางด้าน
ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมสะท้อนปัญหาในภาพใหญ่ของตลาดพลังงาน
โดยแบ่งเป็น 3 ประเด็นใหญ่ คือ 1) ตลาดพลังงานในประเทศไทยการแข่งขันของตลาดพลังงานในประเทศไทยไม่ใช่ตลาดเสรีอย่างแท้จริง
และไม่มีทางเปลี่ยนเป็นตลาดที่แข่งขันอย่างเสรีได้ เนื่องจากมีผู้แข่งขันในตลาดบางรายมีส่วนแบ่งการตลาดค่อนข้างมาก
และมีกิจการที่ครอบคลุมเกือบทั้งกระบวนการของธุรกิจพลังงาน จึงเป็นเรื่องยากที่เจ้าอื่น
ๆ จะเข้าไปแข่งขันอย่างเสรีและเท่าเทียม 2) การผูกขาดบวกกับการกำหนดนโยบายจากภาครัฐนำมาซึ่ง
‘กำไรที่สูงเกินปกติอย่างถาวร’ และ 3) ความผันผวนในตลาดโลก ทำให้เกิด ‘กำไรที่สูงเกินปกติชั่วคราว’ ดังเช่นกรณีค่าการกลั่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาน้ำมันแพง
อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า เสนอว่าสิ่งที่รัฐบาลควรทำมีอยู่ 2 ข้อ คือ หนึ่ง
กำหนดเพดานราคาค่าการกลั่น โดยให้มีการทบทวนเป็นรายปี โดยมองว่า กระทรวงพาณิชย์ควรเข้ามากำกับดูแลโดยปรึกษาคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
(กพช.) เนื่องจากน้ำมันเป็นสินค้าควบคุม และสอง
รัฐบาลควรกำหนดให้ใช้มาตรการภาษีลาภลอย โดยใช้ต้นแบบจากประเทศอังกฤษ
เนื่องจากภาษีลาภลอยจะคิดจากภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นขั้นบันได โดยกำหนดว่าหากมีรายได้เกินเท่าไหร่จะเริ่มเก็บภาษีในอัตราที่เหมาะสม
ซึ่งรัฐสามารถใช้พระราชกำหนดในการเก็บภาษีลาภลอย โดยกำหนดเวลาใช้งาน 1 ปี
หรือแค่เฉพาะช่วงเวลาภาวะสงครามก็ได้ ไม่ต้องยาวนาน 3 ปีเหมือนประเทศอังกฤษ
อรรถวิชช์
กล่าวอีกว่า ข้อดีอีกประการหนึ่งคือ มาตรการภาษีลาภลอยสามารถเก็บภาษีย้อนหลังได้ด้วย
ซึ่งจะทำให้รัฐบาลสามารถนำเงินเหล่านั้นไปอุดหนุนกองทุนน้ำมันได้ ทั้งนี้
มองว่าการใช้ภาษีลาภลอยจะทำให้การถกเถียงเรื่องราคาต้นทุนทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นราคาจริงหรือราคาทิพย์หายไป
“หากเราไม่รีบแก้ไขปัญหานี้โดยเร็วด้วยเครื่องมือใหม่ตามที่เสนอมา
ยังคงใช้เครื่องมือเดิม ๆ ซึ่งรัฐก็ใช้อยู่ทั้งหมดแล้ว
เมื่อกองทุนน้ำมันไม่สามารถรับภาระได้ไหว
ผู้ใช้น้ำมันทั้งหลายจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง” เลขาธิการพรรคกล้า ระบุ
สอดคล้องกับ
ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน ที่ระบุว่ารัฐบาลต้องควบคุมราคาค่าการกลั่น
เนื่องจากโดยข้อเท็จจริงแล้วต้นทุนการกลั่นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง นั่นแปลว่า
หากปกติค่าการกลั่นอยู่ที่ 1 เหรียญก็อยู่ได้ แต่ปัจจุบันปรับขึ้นมาเป็น 10 เหรียญ
ผู้ประกอบการก็จะได้กำไรมหาศาล โดยมีข้าราชการที่เป็นกรรมการในธุรกิจโรงกลั่นได้รับประโยชน์ด้วย
ทั้งนี้ นอกจากเรื่องค่าการกลั่นแล้ว มองว่ารัฐต้องจัดการปัญหาเรื่อง ‘ความเกี่ยวข้องระหว่างข้าราชการกับภาคธุรกิจ’
อย่างเข้มงวด
“กลุ่มทุนพลังงานมีอัตราการเติบโตสูง
และมีการยึดโยงกับการสวมหมวกหลายใบของข้าราชการ จึงอยากเสนอให้แก้ไข พ.ร.บ.
คุณสมบัติข้าราชการในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจ
และตัดขั้นตอนการนำข้าราชการมาเป็นกรรมการบริหารรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทพลังงานต่าง
ๆ” ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าว
ในทำนองเดียวกัน
ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มองว่า
ควรกำหนดเพดานอัตรากำไร (Profit
Ceiling) โดยรัฐบาลต้องทำ คือ กำหนดน้ำมันสำเร็จรูป และก๊าซหุงต้ม
รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากกระบวนการผลิตน้ำมันต่าง ๆ โดยต้องราคาขายส่ง
ว่าสามารถบวกค่าการกลั่นได้ไม่เกินกี่บาทต่อลิตร
และราคาขายปลีก สามารถบวกค่าการตลาดได้ไม่เกินกี่บาทต่อลิตร
ส่วนประเด็นการเก็บภาษีลาภลอย
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สะท้อนปัญหาว่า การเก็บภาษีลาภลอยจะส่งผลให้ประชาชนต้องจ่ายแพงไปก่อน
แล้วรอประโยชน์จากภาษีที่รัฐจะจัดเก็บภายหลัง
ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะได้ประโยชน์กลับมาหรือไม่ นอกจากนี้ อาจจะส่งผลให้ข้าราชการที่เป็นคณะกรรมการบริหารในบริษัทต่าง
ๆ ได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้นจากการจ่ายค่าตอบแทนให้สูงขึ้น เพื่อลดสัดส่วนกำไรในการจ่ายภาษีลาภลอยได้
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะยาว
ผศ.ประสาท มีแต้ม ประธานอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม
สภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านจากการใช้ ‘ปิโตรเลียม’ มาใช้ ‘พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาด’ โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์
หรือที่เราเรียกกันว่า ‘โซลาร์เซลล์’
น่าจะเป็นทางออกจากปัญหาวิกฤติพลังงานแพงในครั้งนี้ โดยปัจจุบัน
ประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปจำนวนมากเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ตัวอย่างเช่น
ประชากรในประเทศนอรเวย์ที่ซื้อรถใหม่กว่าร้อยละ 80 เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า
หรือในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐฯ ใช้เวลา 19 ปี
ในการเปลี่ยนผ่านมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งในปัจจุบันมีมากกว่า 4
ล้านหลังคาเรือนที่ติดตั้งระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์
ทั้งนี้
สภาองค์กรของผู้บริโภคจึงได้ยื่นข้อเสนอถึงคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2565
โดยมีข้อเสนอทั้งสิ้น 4 ข้อ ดังนี้ 1) ขอให้กระทรวงพลังงานเร่งกำหนดมาตรการเพื่อควบคุมค่าการกลั่นน้ำมันให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้บริโภค
2) ขอให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงพาณิชย์ ควบคุมค่าการตลาดให้เป็นธรรม 3)
ขอให้กระทรวงพลังงานทบทวนวิธีการกำหนดราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นในประเทศ และ
4) ขอให้กระทรวงการคลังเก็บภาษี “ลาภลอย (windfall tax)” จากกิจการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
(อ่านข้อเสนอฉบับเต็มได้ที่นี่ https://www.tcc.or.th/21062565_petroleum-price_news/)