กฟผ. ช่วยบรรเทาวิกฤตพลังงาน นำโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 4 กลับมาเข้าระบบแล้ว หลัง กกพ. ไฟเขียว
กฟผ. เดินหน้าช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิง
สนองนโยบายรัฐต่อเนื่อง หลัง กกพ. เห็นชอบ นำโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เครื่องที่ 4 ที่ปลดออกจากระบบไฟฟ้ามาปรับปรุงสภาพให้สามารถกลับมาเดินเครื่องใหม่แล้วเมื่อ
11 ธ.ค. 65 ลดการนำเข้า LNG ช่วยเหลือภาระค่าไฟฟ้าของประชาชน เสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า
นายประเสริฐศักดิ์ เชิงชวโน
รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ ในฐานะโฆษกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการนำโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 4 กลับมาเดินเครื่องว่า หลังจากที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)
ได้เห็นชอบให้ กฟผ. นำโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 4 กลับมาผลิตไฟฟ้า เพื่อช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนจากผลกระทบราคาเชื้อเพลิงในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น
กฟผ. ได้ทดสอบการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 4
ทั้งระบบการผลิต และระบบกำจัดมลสาร ให้มีประสิทธิภาพเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
และไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดย กฟผ. จะเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าภายใต้ EHIA ที่ กกพ. อนุมัติ ซึ่งได้จ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบแล้วเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อช่วยลดการนำเข้า LNG
ส่งผลให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงโดยรวมลดลง
และลดภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนในช่วงวิกฤตพลังงานโลก
สำหรับโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เครื่องที่ 4 มีกำลังการผลิตติดตั้ง 150 เมกะวัตต์
ได้ปลดออกจากระบบไฟฟ้าตั้งแต่ ปี 2562 กฟผ.
ได้ทำการปรับปรุงให้มีความพร้อมในการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้า
โดยมีกำหนดเดินเครื่องระหว่างเดือนธันวาคม 2565 - ธันวาคม 2568 คิดเป็นค่าพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ประมาณ 1,643 ล้านหน่วย
ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเหลวในตลาดจร (Spot LNG) จากต่างประเทศที่มีความผันผวนและมีราคาสูงลงได้ประมาณ 10,800 ล้านบาท เป็นการช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนได้อีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กฟผ.
ได้ปรับการผลิตไฟฟ้าเพื่อช่วยลดผลกระทบจากวิกฤตพลังงานโลก โดยเลื่อนการปลดโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่
8
จากเดือนธันวาคม 2564 ออกไปจนถึงเดือนธันวาคม 2568
ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 ถึงเดือนธันวาคม
2565 ช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลงแล้วประมาณ 13,623 ล้านบาท
และปรับเปลี่ยนการใช้เชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้าบางปะกงเป็นน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซล
ซึ่งตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 ถึงเดือนกันยายน 2565
ช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลงแล้วประมาณ 2,378 ล้านบาท รวมถึงปรับแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP)
นอกจากนี้ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2565
กฟผ. ยังรับภาระต้นทุนเชื้อเพลิงค่าก๊าซฯ
แทนประชาชนเป็นการชั่วคราวไปแล้วกว่า 122,257 ล้านบาท