EIC ประเมิน ตลาดปิโตรเคมีเติบโตได้ดี แต่ยังต้องจับตาความเสี่ยงในอนาคต
ปี 2564 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ฟื้นตัวขึ้นหลังสถานการณ์
COVID-19
เริ่มคลี่คลาย และได้ปัจจัยบวกจากภาคการส่งออก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ปี 2565 และในระยะ 3-5 ปีต่อจากนี้ การเติบโตอาจชะลอความร้อนแรงลง
โดยอุปสงค์
ปิโตรเคมี ได้รับแรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจภายในประเทศ
ที่มีการฟื้นตัวได้ดีหลังการเปิดประเทศ อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกเม็ดพลาสติก มีแนวโน้มชะลอตัวจากปีที่แล้ว
ที่มีมูลค่าเติบโตถึง 41% โดยเป็นผลจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักของไทยอย่างจีน
ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของเม็ดพลาสติกของไทย คิดเป็นสัดส่วนราว 27%
ของมูลค่าการส่งออกเม็ดพลาสติกทั้งหมด รวมถึงสหรัฐฯ ที่เป็นประเทศคู่ค้าหลัก
เริ่มมีการเติบโตทางเศรษฐกิจในอัตราที่ชะลอลง
นอกจากนี้ ในปี 2565 ภาคธุรกิจ
ยังต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่จากสงครามระหว่างรัสเซีย และยูเครน ซึ่งภาค
ปิโตรเคมีของไทย มีโอกาสได้รับผลกระทบทางด้านต่าง ๆ ดังนี้
· ด้านราคาต้นทุนและความสามารถในการแข่งขัน : สงคราม
และการคว่ำบาตรรัสเซียผู้ผลิตพลังงานหลัก อย่างน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ส่งผลกระทบต่อราคาวัตถุดิบตั้งต้น
(Feedstock) ของปิโตรเคมี เนื่องจากปิโตรเคมีสามารถผลิตได้จาก
Feedstock หลากหลายประเภท เช่น Naphtha, Gas ดังนั้น การปรับขึ้นของราคา Feedstock ที่ไม่เท่ากัน
จะส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนของผู้ผลิต
· ด้านราคาผลิตภัณฑ์ : หากราคาวัตถุดิบปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผู้ผลิตปิโตรเคมีต้องใช้เวลาในการปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์ตาม ดังนั้น ราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับขึ้นช้ากว่าราคาวัตถุดิบจึงทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับราคาวัตถุดิบ
(spread) ถูกกดดันในระยะสั้น
· ด้านการส่งออก :
แม้จีนจะเป็นคู่ค้าหลักที่ยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าระดับการเติบโตของเงินเฟ้อ
แต่คาดว่าจีนจะหันมาทำการค้ากับรัสเซียเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งจะมีผลต่อการแข่งขันในตลาดส่งออกของไทย
ที่ต้องมีการแข่งขันทางการตลาดกับรัสเซียมากขึ้น
ในระยะกลาง (ช่วง 3-5 ปี) ภาคปิโตรเคมี
ยังต้องมีการปรับตัวให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงในอุตสหากรรมทางด้านอื่น ๆ เช่น
· กำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้น :
เดิมคาดว่าจะมีกำลังการผลิตส่วนเกินเกิดขึ้นมาก แต่เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้โครงการบางส่วนยกเลิกไป
แต่อย่างไรก็ตามในระยะกลาง ภาคปิโตรเคมียังคงต้องเผชิญกับภาวะอุปทานส่วนเกินใหม่เกิดขึ้นอยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุปทานใหม่ที่เกิดขึ้นในจีนและสหรัฐฯ
· เทรนด์ความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม : การขึ้นรูปพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งจะมีความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อย
ๆ เนื่องจากเทรนด์ความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและการปฏิบัติตาม roadmap
ของรัฐบาลเรื่องการลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งดังนั้น
ผู้ประกอบการขึ้นรูปพลาสติกชนิดนี้
อาจต้องมีการปรับตัวโดยการเปลี่ยนไปขึ้นรูปพลาสติกที่สามารถใช้ซ้ำ (reuse) หรือ recycle ได้
แทนการชึ้นรูปพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง
· การเปลี่ยนแปลงในอุตสหากรรมรถยนต์ : ไทยมีเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า
ประเภทรถยนต์นั่งและรถกระบะ 725,000 คัน รถจักรยานยนต์
675,000 คัน รถบัสและรถบรรทุก 34,000
คัน นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการผลิตรถสามล้อ เรือโดยสาร และรถไฟระบบราง ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับชิ้นส่วนพลาสติกที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์
ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีที่ผู้เล่นในอุตสาหกรรมจะศึกษาและเพิ่มสัดส่วนการขายเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษ
(Specialty)
ซึ่งนอกจากจะลดความผันผวนด้านราคาจากสินค้าพลาสติกทั่วไปแล้ว
ยังสามารถช่วยกระจายความเสี่ยงของการงดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งได้อีกด้วย
อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่... https://www.scbeic.com/th/detail/product/petchemical-050722
นักวิเคราะห์
Economic Intelligence Center
ธนาคารไทยพาณิชย์ (จำกัด)
มหาชน
EIC Online: www.scbeic.com
Line : @scbeic