เอไอเอส ฟันรายได้ไตรมาส 3 รวม 41,715 ล้านบาท
เอไอเอส เผยไตรมาส 3 ปี 63 รายได้รวม 41,715 ล้านบาท ล็อคเป้า! ลงทุนขยายศักยภาพเครือข่าย 5G เพื่อคนไทยเต็มกำลัง
ด้วยงบ 3.5 หมื่นล้านบาท ยึดการบริหารต้นทุนที่แข็งแกร่ง
เอไอเอส รายงานผลประกอบการ ไตรมาส 3/2563 มีรายได้รวมอยู่ที่ 41,715 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 1.3% จากไตรมาสก่อนหน้า
กำไรสุทธิ อยู่ที่ 6,764 ล้านบาท
โดยหากไม่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนทำให้กำไรสุทธิทรงตัว
เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการต้นทุน และแม้จะยังได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจตลอดช่วง
9 เดือนแรกของปี
ยังคงเดินหน้าลงทุนด้านเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง โดยในโอกาสครบรอบ 30 ปี ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เอไอเอส
เปิดให้ลูกค้าและคนไทยได้สัมผัสประสบการณ์ความบันเทิงและคอนเทนต์ที่เหนือกว่าจากเทคโนโลยี
5G ทั้ง AR, VR และ Cloud Game พร้อมเปิดบริการแพ็กเกจ 5G ครั้งแรกของเมืองไทย
ตลอดจนวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลให้ภาคธุรกิจไทยเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “การปรับตัวของภาคเศรษฐกิจไทยในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา
เราได้เห็นถึงทิศทางในการปรับตัวสู้กับภาวะวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าในหลากหลายรูปแบบ
แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรในทุกระดับ คือการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ทั้งในแง่ของการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และการช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ
สำหรับเอไอเอส มองว่า เทคโนโลยี 5G เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่สำคัญต่อการพลิกฟื้นเศรษฐกิจและเป็นฟันเฟืองที่จำเป็นต่อการยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน”
เมื่อช่วงเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา
เอไอเอส ได้เปิดตัวบริการ 5G อย่างเต็มรูปแบบ
เพื่อให้คนไทยทุกพื้นที่ ได้รับประสบการณ์ครบถ้วน จากแพ็กเกจและดิจิทัลคอนเทนต์
ประกอบด้วย แพ็กเกจ AIS 5G Max Speed แพ็กเกจ 5G แรกของไทย ด้วยความเร็วอินเทอร์เน็ตถึง 1 Gbps เมื่อใช้งานผ่านเครือข่าย AIS
5G รวมถึง AIS 5G Application อย่าง AIS
5G PLAY AR, AIS 5G PLAY VR และ AIS 5G Cloud Game ให้ลูกค้าเอไอเอสได้สัมผัสประสบการณ์ 5G ได้ตามแบบไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
ในไตรมาส 3 เอไอเอส มีรายได้รวม 41,715 ล้านบาท
ลดลง 1.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 6.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สำหรับธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ เอไอเอส ยังคงมีจำนวนลูกค้าโทรศัพท์มือถือสูงที่สุดในตลาดที่ 40.9 ล้านเลขหมาย เป็นลูกค้าระบบรายเดือน จำนวน 9.7 ล้านราย
เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ จำนวน 235,000 ราย
และมีลูกค้าระบบเติมเงินอยู่ที่ 31.2 ล้านราย ลดลง 313,000
ราย โดยมีสาเหตุหลักมาจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ได้รับผลกระทบมาตั้งแต่ไตรมาสแรก
ของปี และส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจต่อเนื่องมายังไตรมาส 3 ส่วนการใช้งานดาต้าเฉลี่ยอยู่ที่
17.2 กิกะไบต์ต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 1.3% และสัดส่วนลูกค้าที่ใช้ 4G ยังเติบโตสูงขึ้นต่อเนื่องเพิ่มขึ้นเป็น
76% ของฐานลูกค้าทั้งหมด
ส่วนธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้าน เอไอเอส
ไฟเบอร์ ยังคงเติบโตต่อเนื่อง
ด้วยจำนวนลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 53,000 ราย ส่งผลให้มีลูกค้ารวม 1.26 ล้านราย
และมีรายได้จากธุรกิจเน็ตบ้าน 1,785 ล้านบาท เติบโตขึ้น 21%
เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยคาดว่าจะมีลูกค้ารวมไม่น้อยกว่า 1.3 ล้านรายภายในสิ้นปีนี้
ด้านธุรกิจบริการลูกค้าองค์กรเติบโตสูงต่อเนื่องจากความต้องการใช้บริการ Cloud,
Data Center และ IT Solution ที่เพิ่มขึ้นด้วยความต้องการปรับเปลี่ยนธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
และเดินหน้าสร้างโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กรด้วยขีดความสามารถโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
ด้วยปัจจัยลบทั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
COVID-19 และสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
ยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังภาคธุรกิจไทยในภาพรวม ทั้งกำลังซื้อที่อ่อนตัว
และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไป ทั้งนี้
บริษัทยังคงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนและการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรสำหรับการเตรียมพร้อมต่อสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
ส่งผลให้ เอไอเอส มีกำไรสุทธิ 6,764 ล้านบาท* ลดลง 6.5
% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยหากไม่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
ผลกำไรสุทธิทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ทั้งนี้
เอไอเอสยังมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีการกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เพียงพอต่อการลงทุนขยายโครงข่าย
ทั้งบริการ 5G และ 4G รวมทั้งค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่
ซึ่งบริษัทยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม
โดยมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานใน 9 เดือนแรกรวม 65,000
ล้านบาท และคงงบลงทุนทั้งปี 2563 อยู่ที่ประมาณ
35,000 ล้านบาท
“การลงทุนเครือข่าย
โดยเฉพาะ 5G ในปีนี้
เราไม่ได้มองเห็นแค่ผลประโยชน์ในระยะสั้น แต่ความมุ่งหวังของเอไอเอส
คือการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับประเทศไทย
ที่จะดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติได้ ขณะที่ ในระดับ Mass
Scale อาจต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2 ปี ถึงจะเห็นประโยชน์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เนื่องจากการนำไปใช้งานจริง
นอกจากคุณภาพของเครือข่ายแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้อีก 2 อย่าง คือการพัฒนาอุปกรณ์ต่างๆ ที่รองรับการใช้งานในราคาที่เหมาะสม
รวมทั้ง การสร้างแอปพลิเคชันเฉพาะด้านที่จะเกิดประโยชน์กับกลุ่มผู้ใช้งานที่ชัดเจน
สุดท้ายนี้ เราเชื่อมั่นว่า ด้วยคุณภาพของเครือข่าย
งานบริการที่ประทับใจและตอบโจทย์ความต้องการ เทคโนโลยีล้ำสมัย
สิทธิพิเศษที่ลงตัวกับ ทุกไลฟ์สไตล์
และการบริหารองค์กรด้วยสำนึกในความรับผิดชอบต่อสังคมนั้น
สะท้อนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของเอไอเอสมาตลอด 30 ปี
ที่ผ่านมา ในฐานะองค์กรของไทยที่พร้อมเติบโตและอยู่เคียงข้างคนไทยทุกคนตลอดไป” นายสมชัย กล่าวสรุป