“พลังงาน”ติวเข้มโครงการกองทุนฯอนุรักษ์พลังงาน ปี 63 มั่นใจช่วยเศรษฐกิจฐานรากสร้างงานสร้างอาชีพ
กระทรวงพลังงานวางกรอบกติกาเข้ม
เร่งพิจารณากลั่นกรองโครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานปี
63 ซึ่งมีข้อเสนอวงเงินเกินกว่างบจัดสรรถึง
11 เท่า โดยลำดับความสำคัญเน้นให้กับโครงการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก
สร้างงาน สร้างอาชีพ และการช่วยเหลือภัยแล้ง เป็นอันดับแรก
นายกุลิศ
สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน
เป็นประธานในการประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองงบประมาณของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งมีการสรุปยอดการยื่นข้อเสนอโครงการปีนี้มีจำนวนทั้งหมด
5,155 โครงการวงเงิน 62,616 ล้านบาท
โดยที่กรอบการจัดสรรเงินกองทุนฯ มี 5,600 ล้านบาท
หรือเกินจำนวนเงินที่มีประมาณ 11 เท่า
ซึ่งโครงการที่ยื่นเขามาแบ่งเป็นในกลุ่มแผนเพิ่มประสิทธิภาพ 1,134 โครงการ วงเงิน 20,874 ล้านบาท (วงเงินจัดสรร 2,400
ล้านบาท) และแผนพลังงานทดแทน 4,021
โครงการ วงเงิน 41,743 ล้านบาท (วงเงินจัดสรร 3,200
ล้านบาท)
คณะอนุกรรมการฯ
จะพิจารณาและกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขอย่างละเอียดรอบคอบและให้ครอบคลุมหลายมิติ
โดยลำดับแรกจะพิจารณาว่าเป็นไปตามเงื่อนไขการจัดทำข้อเสนอโครงการและเงื่อนไขการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ
หรือไม่ เช่น ผู้ยื่นขอรับการสนับสนุนไม่เข้าข่ายเป็นผู้ขอรับแทนกัน
มีข้อมูลด้านความคุมค่า
กรณีเป็นโครงการต่อเนื่องต้องมีผลความก้าวหน้าและผลการเบิกจ่ายมากกว่าร้อยละ 50 ของโครงการในปีที่ผ่านมา
มีข้อมูลด้านศักยภาพของหน่วยงานและเชิงพื้นที่ เป็นต้น
ทั้งนี้
การลำดับความสำคัญจะเน้นให้กับโครงการภายใต้กลุ่มงานสนับสนุนลดต้นทุน
ยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มเศรษฐกิจฐานรากภายใต้แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
และแผนพลังงานทดแทน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทำให้เม็ดเงินกระจายอยู่ในจังหวัด
ช่วยสร้างอาชีพ สร้างงาน และสร้างรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่
รวมทั้งเกิดการนำพลังงานทดแทนมาใช้ก่อเกิดการประหยัดพลังงานให้กับชุมชน
ช่วยลดค่าใช้จ่าย
โดยในกลุ่มนี้มีข้อเสนอโครงการที่ยื่นตรงมายังสำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
(ส.กทอ.) รวม 3,605 โครงการ
และข้อเสนอผ่านคณะกรรมการระดับจังหวัดซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน
มีจังหวัดที่ยื่นขอมา 54 จังหวัด
ซึ่งคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ จะกำหนดแนวทางกลั่นกรองโครงการภายใต้กลุ่มงานนี้ต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป็นไปตามเงื่อนไขอย่างเข้มงวด
สำหรับโครงการติดตั้งระบบสูบน้ำพลังแสงอาทิตย์
ซึ่งมีหน่วยงานยื่นข้อเสนอโครงการทั้งหมด 2,339
โครงการ เป็นวงเงิน 9,172 ล้านบาท
คณะอนุกรรมการฯ ได้มอบแนวทางพิจารณามิติการบูรณาการ เช่น มีการสูบน้ำเพื่อการเกษตร
มีแผนเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ โดยอาจเป็นการแปรรูปผลิตภัณฑ์ และมอบหมาย
ส.กทอ.จัดทำบัญชีข้อมูลโครงการที่กองทุนฯ
ได้ให้การสนับสนุนไปแล้วรายจังหวัดประเภทโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการเกษตร
เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาของคณะอนุกรรมการฯ
โดยจะให้ความสำคัญกับพื้นที่ประสบภัยแล้งที่ยังไม่เคยได้รับการจัดสรร
ส่วนโครงการประเภทซื้อวัสดุอุปกรณ์
หากไม่มีการต่อยอดบูรณาการเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจะได้รับความสำคัญระดับต่ำสุด
โดยระยะเวลาในการกลั่นกรองโครงการคณะอนุกรรมการฯ
จะเร่งให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมิถุนายน 2563 เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ
พิจารณาอนุมัติในสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนมิถุนายนต่อไป