คปภ. ศึกษาระบบประกันสุขภาพและประกันพืชผลทางการเกษตรของอินเดีย • เพื่อนำไปเสริมเขี้ยวเล็บระบบประกันภัยของไทย โดยมุ่งช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนผู้มีรายได้น้อย

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 10 - 13 กุมภาพันธ์ 2563 ตนและคณะผู้บริหารสำนักงาน คปภ. ได้เดินทางไปสาธารณรัฐอินเดีย เพื่อร่วมหารือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านธุรกิจประกันภัยกับสาธารณรัฐอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดประกันภัยที่น่าสนใจและมีขนาดใหญ่ของภูมิภาคเอเชีย ด้วยจำนวนประชากรกว่า 1,356  ล้านคน เบี้ยประกันภัยรับรวมกว่า 99,838 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ รวมทั้งมีอัตราการเติบโตในระดับสูงกว่าประเทศอื่นๆ  และกว่าร้อยละ 70 ของประชากรทั้งหมด เป็นผู้มีรายได้น้อยและอาศัยในพื้นที่เกษตรกรรม การประกันภัยรายย่อยและการประกันภัยเกษตรกรรมจึงมีความสำคัญมาก โดยรัฐบาล และ The Insurance Regulatory and Development Authority of India (IRDAI) หน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยของสาธารณรัฐอินเดีย ได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วยระบบประกันภัย  

ในการนี้ เลขาธิการ คปภ. และคณะผู้บริหารของสำนักงาน คปภ. ได้เข้าพบกับ Mr. Keita Hashiba, Deputy CEO ของบริษัท Universal Sompo General Insurance (USGI) ณ สำนักงานของบริษัทฯ ที่นครมุมไบ โดยบริษัทนี้เป็นบริษัทประกันวินาศภัยขนาดใหญ่ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่นครมุมไบ สาธารณรัฐอินเดีย เพื่อหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพรวมตลาดประกันภัย และหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยที่สำคัญในสาธารณรัฐอินเดีย รวมถึงโครงสร้างของตลาดประกันภัย โดยประกันภัยรถยนต์ ประกันสุขภาพ และประกันเกษตรกรรม มีส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุด ปัจจุบันประกันสุขภาพมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประกันภัยประเภทอื่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลอินเดียได้ดำเนินโครงการ National Health Protection Scheme (Ayushman Bharat) เพื่อให้ความคุ้มครองด้านการดูแลสุขภาพและการรักษาพยาบาลแก่ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีรายได้น้อย ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทประกันภัยจะเข้าไปรับประกันสุขภาพให้แก่ประชากรแต่ละรัฐ และรัฐบาลของรัฐจะให้การสนับสนุนเบี้ยประกันภัย นอกจากนี้เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการประกันภัย IRDAI ได้กำหนดสัดส่วนขั้นต่ำของผลิตภัณฑ์ที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อผู้มีรายได้น้อย เช่น Micro insurance และ Rural insurance เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทมีการเสนอขายผลิตภัณฑ์ที่มีความจำเป็นและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วย 

นอกจากนี้ ได้หารือเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและให้บริการแก่ลูกค้า โดย USGI ได้มีการพัฒนาระบบ Chatbot เพื่อเพิ่มช่องการการติดต่อและให้ข้อมูลแก่ลูกค้า การพัฒนาระบบ Portal สำหรับตัวแทนของบริษัท เพื่อให้บริการด้านข้อมูลแก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการสร้างระบบสื่อสารกับลูกค้าผ่านระบบ Whatsapp ซึ่งเป็นสื่อโซเชียลมีเดียที่เป็นที่นิยมในสาธารณรัฐอินเดีย และในโอกาสเดียวกันนี้ ได้เยี่ยมชมการดำเนินงานของ USGI สาขาเมืองพุทธคยา เกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมเข้าถึง และช่องทางการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ในเมืองนี้อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล

 

การเดินทางไปสาธารณรัฐอินเดีย ครั้งนี้ เลขาธิการ คปภ. และคณะฯ ยังได้หารือร่วมกับ Mr. Anjan Dey, General Manager บริษัท New India Assurance บริษัทประกันวินาศภัยรายใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐอินเดีย ซึ่งมีเครือข่ายและสำนักงานสาขาในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย โดยมีการหารือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการส่งเสริมความรู้ด้านการประกันภัย และการเข้าถึงระบบการประกันภัยให้กับประชาชนกว่าล้านรายในอินเดียโดยบริษัทได้มีการจัดตั้งสำนักงานในรูปแบบ Micro office หรือ one-man office ในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้บริการด้านการประกันภัย รวมถึงเสนอขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ แก่ประชาชน นอกจากนี้ยังได้ดำเนินการผ่าน Common Service Center ซึ่งเป็นสำนักงานที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาล ในเขตชนบททั่วประเทศที่ระบบคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตยังไม่เพียงพอ เพื่อให้บริการต่างๆ ทั้งเรื่องสวัสดิการสังคม สวัสดิการด้านสุขภาพ รวมถึงบริการด้านการเงิน และการประกันภัย ซึ่งมีกว่า 100,000 แห่งทั่วประเทศ 

ในโอกาสเดียวกันนี้ ได้หารือร่วมกับ ผู้บริหารของบริษัท Munich Re สาขาสาธารณรัฐอินเดีย ที่นครมุมไบ สาธารณรัฐอินเดีย เกี่ยวกับการประกันภัยเกษตรกรรม และ Digital ecosystem เนื่องจากประชากรอินเดียกว่า 200 ล้านคนประกอบอาชีพเกษตรกร และผลผลิตภาคเกษตรกรรมคิดเป็นร้อยละ 16 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ  ดังนั้นการประกันภัยเกษตรกรรมจึงมีความสำคัญมาก และรัฐบาลได้ออกหลายมาตรการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร อาทิ Prime Minister’s Fasal Bima Yojana scheme (PMFBY) เพื่อให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เกษตรกร และส่งเสริมให้นำนวัตกรรมมาใช้ในการเกษตร โดยกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยคงที่สำหรับพืชผลแต่ละชนิด เกษตรกรจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยบางส่วน ระหว่างร้อยละ 1.5 ถึง 5 และส่วนที่เหลือรัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบ โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2564 จะมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนเกษตรกรทั้งหมด ซึ่งความท้าทายของการประกันเกษตรกรรมในสาธารณรัฐอินเดีย คือ ความหลากหลายของพืชผลในแต่ละพื้นที่และฤดูการเพาะปลูก ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการจัดทำประกันภัยที่เป็นมาตรฐาน และต้นทุนในการสำรวจภัยด้วยบุคคลยังค่อนข้างต่ำ จึงยังคงใช้ระบบการประเมินผลผลิต (Yield based approach) มากกว่าระบบพาราเมทริกซ์ (Parametric based approach) นอกจากนี้ ระบบนิเวศน์ด้านดิจิทัล (Digital ecosystem) ของสาธารณรัฐอินเดียมีความน่าสนใจมาก ปัจจุบันมีผู้ใช้สมาร์ทโฟน 337 ล้านคน ผู้ใช้อินเตอร์เน็ต 560 ล้านคน และประชากรร้อยละ 80 มีบัญชีธนาคาร ดังนั้น จึงเอื้อให้การทำธุรกรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก ช่องทางดิจิทัลกลายเป็นช่องสำคัญสำหรับธุรกิจประกันภัย และได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป อาทิ การประกันภัยโทรศัพท์มือถือ การประกันการล่าช้าของเที่ยวบิน และประกันการยกเลิกการแสดงต่างๆ เป็นต้น 

“การเข้าร่วมดูงานและหารือกับภาคธุรกิจประกันภัยในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ พัฒนาการต่าง ๆ ด้านประกันภัย ซึ่งธุรกิจประกันภัยของสาธารณรัฐอินเดียมีลักษณะที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกันภัยด้านเกษตรกรรมและประกันสุขภาพ ซึ่งมีความสำคัญมากต่อประชากรในประเทศ โดยภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลมีบทบาทอย่างมากในการสนับสนุนและส่งเสริมให้ระบบการประกันภัยเข้าไปช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และรองรับความเสียหายให้กับเกษตรกรในประเทศ ด้วยการดำเนินมาตรการและโครงการต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับการประกันภัยของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

Visitors: 11,025,055