คปภ. เห็นชอบ “แบบกรมธรรม์ประกันภัย ทำเหมืองแร่” ฉบับแรกของประเทศไทย
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ
เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.)
เปิดเผยว่า ตามที่พระราชบัญญัติแร่
พ.ศ. 2560 มาตรา 68 (9) ได้กำหนดให้ผู้ประกอบการเหมืองแร่ประเภทที่ 2 และประเภทที่
3 จะต้องจัดทำประกันภัยความรับผิดต่อชีวิต
ร่างกาย ทรัพย์สินของบุคคลภายนอกนั้น
สำนักงาน คปภ. ร่วมกับ
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) และคณะกรรมการประกันภัยเบ็ดเตล็ด
สมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้ประชุมหารือเพื่อพิจารณาจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก
(สำหรับการทำเหมืองแร่) รองรับประกาศคณะกรรมการแร่ เรื่อง
กำหนดวงเงินและการจัดทำประกันภัยความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย
ทรัพย์สินของบุคคลภายนอก สำหรับเหมืองแร่ประเภทที่ 2 และประเภทที่ 3
ที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562
สำหรับความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าว
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2562 เลขาธิการ คปภ. ได้ลงนามในคำสั่งนายทะเบียนที่
17/2562 เรื่อง ให้ใช้แบบ
และข้อความกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก
(สำหรับการทำเหมืองแร่) และอัตราเบี้ยประกันภัย
ซึ่งถือเป็นแบบกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับการทำเหมืองแร่ฉบับแรกของประเทศไทย
การทำเหมืองแร่ได้แบ่งออกเป็น 3 ประเภท โดยประเภทที่ 1
เนื้อที่ไม่เกิน 100 ไร่และเป็นโครงการเหมืองแร่ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประเภทที่ 2 เนื้อที่ไม่เกิน
625 ไร่ และประเภทที่ 3 เป็นการทำเหมืองในทะเล
เหมืองใต้ดิน หรือเหมืองที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมสูง ทั้งนี้ ผู้ถือประทานบัตรจะต้องจัดทำประกันภัยให้มีระยะเวลาครอบคลุมต่อเนื่องตลอดอายุประทานบัตร
โดยให้มีจำนวนเงินเอาประกันภัยสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อครั้งสำหรับการเสียชีวิต
ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงหรือค่ารักษา พยาบาล
และความเสียหายต่อทรัพย์สินของผู้ได้รับความเสียหายดังนี้
การทําเหมืองประเภทที่
2 ให้จัดทําประกันภัยความรับผิดต่อชีวิต
ร่างกาย ทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ในวงเงินไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท
ยกเว้นการทําเหมืองประเภทที่ 2 ที่มีชนิดแร่เดียวกับเหมืองประเภทที่
1 แต่มีเนื้อที่เกินหนึ่งร้อยไร่ และแร่หินประดับชนิดหินทราย ให้จัดทําประกันภัยในวงเงินไม่น้อยกว่า
1 ล้านบาท
การทำเหมืองประเภทที่ 3 ได้แก่ (1) ประเภทเหมืองแร่ในทะเล
เหมืองแร่ถ่านหิน เหมืองแร่กัมมันตภาพรังสี กลุ่มเหมืองหินอุตสาหกรรมที่นําผลผลิตไปใช้ในการผลิตซีเมนต์เป็นหลัก หรือเหมืองแร่โลหะที่ต้องจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
สําหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม
ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ (EHIA) ให้จัดทําประกันภัยในวงเงินไม่น้อยกว่า 30ล้านบาท (2) เหมืองแร่ใต้ดิน ให้จัดทําประกันภัยในวงเงินไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท (3) เหมืองชนิดแร่ทองคํา ให้จัดทําประกันภัยในวงเงินประกันไม่น้อยกว่า
50 ล้านบาท และ (4) การทําเหมืองประเภทที่ 3 ที่นอกเหนือจาก (1) - (3) ให้จัดทําประกันภัยในวงเงินประกันไม่น้อยกว่า
5 ล้านบาท
“กรมธรรม์ประกันภัยสำหรับการทำเหมืองแร่จะคุ้มครองความสูญเสียต่อชีวิต
ร่างกาย การบาดเจ็บ หรือเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดตามกฎหมายซึ่งเกิดจากการประกอบธุรกิจและเกิดขึ้นภายในสถานประกอบการที่เอาประกันภัย
ภายใต้ขอบเขตของการเสี่ยงภัย ในระหว่างระยะเวลาเอาประกันภัย ณ
อาณาเขตความคุ้มครองซึ่งระบุในตารางกรมธรรม์ประกันภัย รวมถึงค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี
อัตราเบี้ยประกันภัย เป็นแบบช่วงขั้นต่ำ – ขั้นสูง โดยรายปีอยู่ในช่วงร้อยละ 0.01
– 5.00 ของจำนวนเงินจำกัดความรับผิดหรือของค่าจ้างหรือของยอดรายได้แล้วแต่กรณี ขณะนี้มีบริษัทประกันภัยยื่นความประสงค์ขอความเห็นชอบจากนายทะเบียนเพื่อใช้แบบ
และข้อความกรมธรรม์ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก (สำหรับการทำเหมืองแร่)
และอัตราเบี้ยประกันภัย แล้วกว่า 25 บริษัท” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย