เมืองไทยประกันชีวิต สุดปลื้ม “ฟิทช์ เรทติ้งส์” ปรับเพิ่มอันดับเครดิต ‘A-‘ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ ตอกย้ำสถานะธุรกิจแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
นายสาระ
ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต
จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ
ได้รับการปรับเพิ่มอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล (Insurer
Financial Strength : IFS) จากฟิทช์ เรทติ้งส์
(Fitch Ratings) เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562
เป็น ‘A-‘ หรืออยู่ในระดับ “แข็งแกร่ง” จาก ‘BBB+’
หรือระดับ “ดี” และคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National
IFS) ที่ ‘AAA(tha)’
ซึ่งเป็นอันดับเครดิตในระดับประเทศที่สูงที่สุดแล้ว
โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ ทั้งนี้
อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ
สะท้อนถึงโครงสร้างธุรกิจประกันชีวิตที่แข็งแรง ระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง
และฐานะทางการเงินที่มั่นคงของบริษัทฯ
โดยฟิทช์
เรทติ้งส์ ให้ความเห็นว่า โครงสร้างธุรกิจประกันชีวิตของเมืองไทยประกันชีวิต
อยู่ในระดับแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรม
เครือข่ายทางธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดในด้านเบี้ยประกันชีวิตรับรวมเป็นอันดับที่
2 ของประเทศไทย
และยังได้รับการสนับสนุนอย่างใกล้ชิดทางด้านการดำเนินงานและเทคนิคจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท
อีกทั้ง
ยังมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามระดับความเสี่ยงของบริษัทฯ
อยู่ในระดับที่แข็งแรงโดยสะท้อนจากระดับของเงินกองทุนที่ 379% ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2561 ซึ่งสูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ที่
140% และถือว่าอยู่ในระดับแข็งแกร่ง (‘Strong’)
เช่นเดียวกับปัจจัยด้านผลการดำเนินงานของบริษัทฯ
ที่ยังคงมีการดำเนินงานที่แข็งแรงต่อเนื่อง ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายการรับประกันภัยที่รัดกุมและจากผลตอบแทนของเงินลงทุนที่สม่ำเสมอ
โดยบริษัทฯ มีอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เฉลี่ยที่ 2.7% ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2561 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับกับบริษัทประกันชีวิตอื่นทั้งในและต่างประเทศ
นโยบายการลงทุนนั้น บริษัทฯ
มีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นบ้าง
เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะสั้น โดยบริษัทฯ
มีสัดส่วนเงินลงทุนในตราสารทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 11% ของสินทรัพย์ลงทุนรวม ณ สิ้นครึ่งปีแรกของปี 2561 โดยแนวโน้มการลงทุนในตราสารทุนที่เพิ่มขึ้นนี้ยังคงสอดคล้องกับ
บริษัทประกันชีวิตอื่นในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีการควบคุมความเสี่ยงของการลงทุนผ่านการกำหนดนโยบายการลงทุนอย่างระมัดระวังและรักษาสมดุลระหว่างผลตอบแทนที่จะได้รับ
ความเสี่ยงของการลงทุน และค่าความเสี่ยงของการคำนวณเงินกองทุน อาทิ บริษัทฯ จะลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพที่ดี
และมีการกำหนดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ อย่างชัดเจน
โดยมีสัดส่วนเงินลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและตราสารหนี้รัฐวิสาหกิจต่อส่วนทุนของบริษัทอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ
390%
ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2561
นายสาระ กล่าวเสริมว่า
เมืองไทยประกันชีวิตให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างมั่นคงแข็งแกร่งมาโดยตลอด
เพราะบริษัทฯ อยู่ในธุรกิจการเงิน
ความน่าเชื่อถือไว้วางใจที่ผู้บริโภคมีต่อบริษัทฯนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก และ
“ฟิทช์ เรทติ้งส์” ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับนานาชาติ จึงเป็น
“คนกลาง”
ที่เข้ามาช่วยยืนยันสถานะความมั่นคงแข็งแกร่งของเมืองไทยประกันชีวิตได้เป็นอย่างดี”
นายสาระ กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ยังคงเป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรม
(Innovation)
พร้อมก้าวเคียงคู่ไปกับลูกค้าในทุกช่วงของชีวิต (Life Stage) ผ่านนโยบาย “MTL Everyday Life Partner”
เดินหน้าออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการรูปแบบใหม่ผ่านนวัตกรรม และแนวคิดแบบ Outside
In ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการในรูปแบบที่มีความเฉพาะตัว
(Segment of One) และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากยิ่งขึ้น
โดยมุ่งเน้นการขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน
และมุ่งเน้นการปลดล็อคข้อจำกัดในการทำประกันชีวิตและสุขภาพ (Health
Revolution) ที่มอบความคุ้มครองและสร้างความอุ่นใจที่มากขึ้น
ล่าสุด
บริษัทฯ ปรับภาพลักษณ์องค์กรครั้งใหญ่ (Brightening the Brand) ในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา ให้มีความสดใส ทันสมัย
และเป็นสากลมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ภายใต้สโลแกน “Happiness Means Everything:
เพราะความสุขคือทุกอย่าง” โดยมุ่งเน้นเรื่องของการส่งมอบความสุขในทุกด้านให้กับลูกค้า
พนักงาน พันธมิตร และผู้เกี่ยวข้อง อย่างยั่งยืน พร้อมตอกย้ำจุดยืนนโยบาย “MTL
Everyday Life Partner” ที่พร้อมเดินเคียงข้างในทุกช่วงของชีวิต สำหรับตัวตนของเมืองไทยประกันชีวิตต่อจากนี้ จะยังคงความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ (Products) กระบวนการทำงาน (Process)
และการให้บริการ (Services) ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้หลากหลายในรูปแบบเฉพาะบุคคล
(Personalized) มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ยกระดับองค์กรสู่ความเป็นสากล ทันสมัย
และสามารถรับมือกับโลกยุคดิจิทัลได้อย่างเต็มตัว
ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า (Data
Analytics) รวมถึงได้นำระบบกระบวนการทำงานอัตโนมัติ (Robotic
Process Automation หรือ RPA) เพื่อให้การทำงานเป็นแบบอัตโนมัติและเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น
และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial
Intelligence หรือ AI) มาใช้ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็ว
สะดวก และง่ายยิ่งขึ้น